วันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2551

Touching Core i7 920 World Record

Touching Core i7 920 World Record


สวัสดีคร๊าบบบ.... กลับมาพบเจอกันอีกครั้งแล้วนะครับกับเรื่องราวแรงๆ เรื่องราวมันส์ๆในการโอเวอร์คล๊อกในแบบ Extreme ซึ่งวันนี้นั้นเราก็กลับมาพร้อมกับเรื่องราวที่ยังคงเป็นกระแสร้อนแรงที่สุด ในเวลานี้ และก็คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่เรื่องราวของการเปิดตัวซีพียูในเจเนเร ชันใหม่จากค่ายอินเทลที่รู้จักกันในนาม Nehalem แต่ในวันนี้นั้นเราไม่ได้จะมาพูดถึงเทคโนโลยีใหม่ๆเหมือนๆกับที่ผ่านมา เพราะว่าวันนี้เราจะมาพบกับการรีดเข็นพลังที่ซ่อนเร้นอยุ่ภายในของมัน เพื่อลองดูกันว่ามันจะมีพลังแอบแฝงอยุ่มากน้อยซักเพียงไร แต่ก่อนจะไปว่ากันที่เรื่องของการโอเวอร์คล๊อกในแบบสุดขีดนั้น หากว่าใครที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่อง แต่อยากทราบว่าเจ้า Nehalem ที่เราพูดไปนั้นมันคืออะไร ถ้าอยากทราบก็สามารถเข้าไปติดตามได้จากบทความเปิดตัวที่เราได้นำเสนอกันไป เมื่อประมาณอาทิตย์ที่ผ่านมานี่เองนะครับ แต่ถ้าใครที่ทราบกันดีอยู่แล้วเราก้มาติดตามชมกันเลยนะครับว่า วันนี้กับการ Overclock ในแบบ Extreme ด้วยซีพียูที่เพิ่งจะเปิดตัวไปหมาดๆชนิด " ผายลมยังไม่ทันจะหายเหม็น " เราจะทำผลงานออกมาได้ดีซักขนาดไหน และจะจริงเท็จอย่างไรกับหัวข้อที่เราจั่วไว้ เราลองมาชมกันเลยครับ


ก็ คงไม่ต้องมีหนังไตเติ้ลหรือบทนำร่ายยาวให้เสียเวลา เรามาเข้าประเด็นกันเลย สำหรับวันนี้ซีพียูที่เราเลือกมาเพื่อทำการแช่แข็งก็จะเป็นซีพียูในโมเดล น้องเล็กในตระกูลกับ Intel Core i7 920 ซึ่งหลายๆคนในที่นี้ก็คงจะได้เห็นประสิทธิภาพของมันกันไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นครั้งเปิดตัวหรือกับการทดสอบเมนบอร์ดทั้งสามโมเดลที่เพิ่งจะ ผ่านพ้นไป และวันนี้มันก็กำลังจะโดนแช่แข็งแล้ว โดยเมนบอร์ดที่เราเลือกจับคู่มาร่วมชะตากรรมนั้นก็จะเป็นเมนบอร์ดจากทาง GIGABYTE ในโมเดล EX58-UD5P ที่เพิ่งจะผ่านสู่สายตากันไปชนิดสดๆร้อนๆเช่นกัน เอาหละก็ขอสรุปสเป็คโดยรวมทั้งหมดที่เราหยิบมาทำการรีดประสิทธิภาพของ i7 920 ในวันนี้กันนะครับ

CPU : Intel i7 920
CPU Cooling : ZK rev2.1 LN2 pot
MB : GIGABYTE EX58-UD5P
RAM : G.SKILL F3-12800CL7D-2GBHZ x1 / F3-12800CL9D-2GBNQ x2
GFX : ASUS EAH4870X2 TOP CFX
HDD : Western Raptor
PSU : Silverstone OP1000W


ตรง นี้ก็ไม่มีอะไรมากครับ เพียงแค่เอามาให้ชมกันว่าเมโมรีที่เราใช้นั้นเป็นแบบ Triple-Channel Mixed pair โดยที่จะเป็นเมโมรีจากสองโมเดลที่มาทำงานร่วมกัน แต่ด้วยที่สเป็คค่อนข้างต่างกันมากก็เลยทำให้เราโดนบังคับให้ต้องเล่นไทมิ่ง ในแบบหลวมๆ และไม่ใช่หลวมธรรมดา เพราะหลวมกันสุดๆ ก็เลยหยิบเอามาให้ได้ชมกันก่อนที่จะสงสัยว่าเหตุใดเราจึงใช้ไทมิ่งที่หลวม ยิ่งนัก !!!


Max Validation - Core i7 920 WR (11/11/08)


กระโดด มาเข้าประเด็นกันเลยครับ.... และนี่ก็คือผลงานที่ดีที่สุดของเราในวันนี้ ก็ทำออกมาได้เท่าที่เห็นนี่หละครับสำหรับ Core i7 920 จากความเร็วเดิมๆที่ 2.66GHz ที่สามารถลากมันมาได้ไกลกว่า 4.65GHz และบอกกันเลยว่าที่ความเร็ว 4.65GHz ตรงนี้นั้น แม้จะใช้ LN2 ในการระบายความร้อนแต่อุณหภูมิที่เราเลี้ยงไว้นั้นแค่แถวๆ -30 ํC เท่านั้นครับ


SuperPi 1M @4.65GHz (221x21)


มา ชมกันต่อเลยครับหลังจากได้เห็นความเร็วในระดับ WR ของ I7 920 กันไปแล้วว่ามีความเร็วขนาดไหน ตรงนี้เรามาดูกันอีกซักนิดหน่อยว่านอกจากมันจะ Validate ได้แล้วนั้นมันยังทำอะไรได้อีกบ้าง ก็เริ่มที่โปรแกรมทดสอบยอดฮิตติดอันดับอย่าง SuperPi ซึ่งที่ความเร็ว 4.65GHz นั้นกับระดับการทดสอบ 1M ก็ผ่านฉลุยครับ !!!


SuperPi 32M @4.65GHz (221x21)


นอก จาก SuperPi 1M แล้วนั้นในระดับ 32M ก็ยังผ่านฉลุยไร้ปัญหาเช่นกัน.... แว๊ปมาดูเวลาเมื่อเปรียบเทียบกับความเร็วซีพียูแล้วยอมรับเลยครับว่า Nehalem นี่รัน SuperPi ได้รวดเร็วทันใจจริงๆ แม้ว่ายังไม่มีการ Tweak ใดๆก็ตามที


Other Benching


HexusPifast @4.65GHz


อีกซักหน่อยกับความเร็วในระดับ WR กับ HexusPifast ซึ่งก็จบลงด้วยเวลาเพียง 19.34 เท่านั้น


Wprime 1.55 @4.6GHz


สำหรับ Wprime ก็จบลงด้วยเวลาเพียง 5.767 วินาที

Max 3DBenching


ก่อน ที่เราจะไปชมกันที่ผลการทดสอบ ขออนุญาตวิชาการอีกซักหน่อยคั่นรายการนะครับ เพราะคิดว่าหลังจากที่เห็นความเร็วซีพียูที่ขยับขึ้นไปกว่า 4.6GHz แต่เรื่องความเร็วซีพียุนั้นคงไม่ใช่ประเด็นใหญ่ แต่ประเด็นใหญ่คงจะอยู่ที่เรื่องของอัตราตัวคูณ ที่บางท่านเห็นแล้วอาจจะงงกันว่าเหตุใด i7 920 ที่เราทดสอบกันไปมีตัวคูณที่ระดับ 21x มาให้ใช้งานด้วย ??? เพราะจริงๆแล้วมันจะมีมาให้สูงสุดเพียง 20x เท่านั้น !!! ใช่แล้วครับมันมีมาให้ปรับเพียง 20x แต่ถ้าท่านเปิดใช้ฟังก์ชัน Intel Turbo Mode แล้วมันก็จะจัดสรรค์ให้เราเพิ่มมาให้อีกหนึ่งระดับ แต่สำหรับฟังก์ชันดังกล่าวนี้นั้นมันจะสามารถรักษาระดับตัวคูณไว้ที่ 21x ไว้ได้ตลอดเวลาก็ต่อเมื่อซีพียูถูกเรียกใช้งานสูงสุดเพียง 2 เทรด แต่ถ้ามีงานมากกว่า 2 เทรดเมื่อใด ระดับตัวคูณก็จะถูกลดลงเหลือที่ระดับ 20x ทันที ซึ่งเราก็มีตัวอย่างมาให้ชมกันทางด้านบนว่า หากมีงานแค่ 2 เทรดนั้นตัวคูณของซีพียูก็จะยังคงรักษาไว้ที่ 21x เอาหละครับก็หวังว่าคงจะเข้าใจทั้งข้อมูลที่ให้ไปและเจตนาที่จะสื่อให้ได้ ทราบ ต่อจากนี้ไปก็ไปชมผลงานของ I7 920 กันต่อเลยครับ


3DMark 2003


สำหรับ 3DMark03 นั้นเป็นโปรแกรมที่จะเรียกใช้ซีพียูเพียง 2 เทรดเท่านั้น ตรงนี้กับผลที่ออกมาก็คือประสิทธิภาพ ณ ความเร็ว 4.55GHz ตามที่แสดงอยุ่บน CPU-Z นั่นหละครับ


3DMark 2005


3DMark03 ก็เช่นเดียวกันกับ 3DMark03 ที่จะใช้ซีพียูเพียง 2 เทรด


3DMark 2006


สำหรับ 3DMark06 นั้น ประสิทธิภาพที่ได้มาตรงนี้ก็เท่ากับว่าเป็นการ Benchmark ที่ความเร็วซีพียุจริงที่ 4.3GHz เท่านั้น ส่วนเหตุผลก็ได้อธิบายไว้แล้วทางด้านบน

PCMark05


ชัดเจน ครับกับโปรแกรมที่เรียกใช้ CPU ในแบบ Multi-Thread อย่าง PCMark05 นั้นความเร็วจริงในการทดสอบก็จะเป็น 4.3GHz เช่นเดียวกันกับ 3DMark06 นั่นหละครับ


Conclusion


สำหรับเรื่องราวทั้งหมดในวันนี้จริงๆนั้น ประเด็นของมันจริงๆก็จะอยู่ที่ความเร็วของเจ้า Core i7 920 ที่เราสามารถพามันไปโลดแล่นด้วยความเร็วในระดับ World Record กับความเร็วกว่า 4.6GHz เท่านั้นแหละครับ แต่ส่วนองค์ประกอบอื่นนั้นก็ถือว่าเป็นเพียงน้ำจิ้ม ที่เราได้ทำการ Benchmark มาให้ได้ชมกันว่าสามารถทำการทดสอบอะไรได้บ้างและที่ความเร็วระดับใดบ้าง ส่วนเรื่องผลคะแนนที่ออกมาจากทั้งหมดนั้นถือว่าอยุ่ในเกณฑ์ที่ยังไม่ถือว่า โดดเด่นแต่อย่างไร เพราะถ้าดูกันจริงๆแล้วบางอย่างยังมีคะแนนที่ด้อยกว่า Core 2 Duo ที่เราได้เคยนำเสนอกันไป เพราะว่าหลายๆอย่างในเวลานี้สำหรับการทดสอบนั้นยังคงอ้างอิงกับความเร็วของ ซีพียุเป็นหลักนั่นเอง แต่สำหรับในอนาคตคาดว่าโปรแกรมทดสอบต่างๆคงจะรองรับในเรื่อง Multi-Thread มากขึ้นอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นซีพียูหลายคอร์หลายเทรดจึงจะได้เปรียบขึ้นมาเห็นๆ ส่วนเวลานี้ก็คงยังต้องอาศัยเร็วเข้าว่าไว้ก่อนหละครับ แต่แม้ว่าวันนี้เรายังจะไม่ได้เห็นคะแนนในแบบล้นหลามจาก Nehalem กับในเรื่อง Extreme Overclock ถึงกระนั้นก้ถือว่าประสบผลสำเร็จไปด้วยดีกับการที่ได้สัมผัสกับความเร็วใน ระดับ WR ซึ่งเราจะยังคงไม่หยุดอยู่แต่เพียงเท่านี้แน่นอน แล้วมารอชมในตอนต่อไปกันนะครับว่าจะมีอะไรแรงๆมาให้ได้ชมกันอีกหรือไม่ ส่วนวันนี้ก้ต้องขอตัวก่อนนะครับ

http://overclockzone.com/zolkorn/year2008/11/core_i7_920WR/index.htmlสวัสดีครับ

เมื่อBlogenone เยือนถิ่นไมโครซอฟท์

รายงาน Live Services Jumpstart 2009

เมื่อวันที่ 10 - 11 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ที่ผ่านมา ผมได้เข้าคอร์สอบรมของไมโครซอฟท์ ในหัวข้อ Live Services Jumpstart 2009 จัดขึ้นที่โรงแรมแมริออท ประเทศสิงคโปร์ ทั้งนี้ Live Services Jumpstart จัดว่าเป็นการอบรมครั้งยิ่งใหญ่ของไมโครซอฟท์ เพราะจัดอบรมในเวลาไล่เลี่ยกันในหลายประเทศ และใช้งบในการจัดอบรมไม่น้อยทีเดียว (ดูจากจำนวนผู้เข้าอบรม และสถานที่อบรมกับอาหารชั้นดี) ขอแนะนำสั้นๆก่อนว่า การอบรมนี้เป็นภาคปฏิบัติที่แนะนำให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์เข้าใจวิธีการพัฒนา แอพพลิเคชันเพื่อทำงานอยู่บน “กลุ่มเมฆของไมโครซอฟท์”

ต่อไปนี้ ผมจะใช้คำว่า “กลุ่มเมฆ” แทนแพลตฟอร์มของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ทำงานอยู่บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อให้บริการในรูปแบบต่างๆแก่ผู้ใช้

การอบรม Live Services Jumpstart

Live Services Jumpstart เป็นคอร์สอบรมภาคปฏิบัติ ส่วนใหญ่ผู้เข้าอบรมเป็นบริษัทพาร์ทเนอร์ของไมโครซอฟท์ ส่วนบริษัทอื่นๆหรือบุคคลทั่วไปก็สามารถลงทะเบียนเข้าอบรมได้ด้วยเช่นกัน โดยไม่เสียค่าลงทะเบียนใดๆทั้งสิ้น ซึ่งเนื้อหาอบรมจะเน้นไปที่ แนวทางการพัฒนาแอพพลิเคชันด้วยเครื่องมือต่างๆที่จัดเตรียมโดย Live Services สำหรับตารางหัวข้ออบรม ท่านสามารถดูได้จาก Agenda สำหรับข้อมูลอื่นๆของการอบรมสามารถดูได้ที่เว็บ lsjumpstart.com

ผมขอออกตัวก่อนว่า รายงานครั้งนี้ จะไม่รายงานในส่วนภาคปฏิบัติ ซึ่งเป็นการลงมือเขียนโปรแกรมแบบเป็นขั้นเป็นตอน แต่ผมจะรายงานแบบสรุปว่า เนื้อหาของการอบรมครอบคลุมเรื่องอะไรบ้าง และผมจะอ้างอิงเรื่องอื่นที่นอกเหนือจากการอบรมด้วย เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ทราบวิสัยทัศน์ของไมโครซอฟท์ และเนื่องจากผมห่างหายจากวงการพัฒนาซอฟต์แวร์ไปนานแล้ว ทำให้ผมไม่ถนัดที่จะอธิบายเทคโนโลยีต่างๆที่ไมโครซอฟท์ใช้อยู่ ดังนั้น หากท่านมีประสบการณ์และความรู้ในเรื่องนี้ ท่านสามารถแชร์สิ่งที่ท่านรู้ให้พวกเราได้อ่าน ก็จะเป็นพระคุณอย่างมาก

สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาวิธีการพัฒนาโปรแกรมด้วย Live Services จริงๆ ท่านสามารถศึกษาได้ด้วยตนเองที่ MSDN

Windows Live กับ Live Services

ก่อนที่จะลงรายละเอียดของเนื้อหาอบรมจริงๆ ผมขออธิบายความหมายของ Windows Live กับ Live Services

Windows Live เป็นบริการบนอินเทอร์เน็ต สำหรับหน้าเว็บหลักของ Windows Live อยู่ที่ home.live.com ส่วน live.com เป็นหน้าหลักของบริการ Live Search หากจะลงรายละเอียดไปอีกนิดนึง Windows Live ก็คือ ศูนย์กลางของบริการต่างๆที่ทำงานอยู่บนกลุ่มเมฆของไมโครซอฟท์ โดยมีบริการอยู่หลายตัวด้วยกันตามที่แสดงไว้ในภาพต่อไปนี้ ก่อนอื่นขอบอกไว้ล่วงหน้าก่อนว่า บริการบนกลุ่มเมฆของไมโครซอฟท์ไม่ได้มีแค่เพียง Windows Live เท่านั้น แต่ยังมีบริการอื่นอีก ซึ่งจะกล่าวในรายงานนี้นิดหน่อยในส่วนของ Azure

alt text

ผมเชื่อว่าหลายท่านรู้จักและได้ใช้หรือกำลังใช้บริการของ Windows Live กันแล้ว บริการของ Windows Live มีมากมาย อันได้แก่ Windows Live Hotmail, Windows Live Calendar, Windows Live Alerts, Windows Live Favorites, Windows Live SkyDrive, Windows Live Spaces, Windows Live Messenger และอีกมากมาย (เคยใช้กันหมดหรือยังครับ) ส่วนท่านที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติม สามารถอ่านข้อมูลคร่าวๆได้ที่ Wikipedia

ส่วน Live Services คือ ศูนย์กลางของเครื่องมือสำหรับพัฒนาแอพพลิเคชันที่สามารถเข้าถึงผู้คนที่มี มากกว่า 400 ล้านรายที่กำลังใช้บริการต่างๆของ Windows Live อยู่ ถ้าหากมองความสัมพันธ์ระหว่าง Windows Live กับ Live Services แล้วจะกล่าวได้ว่า Live Services จัดเตรียมเครื่องมือสำหรับการพัฒนาแอพพลิเคชันเพื่อเรียกบริการของ Windows Live ทั้งนี้ หน้าเว็บหลักของ Live Services จะอยู่ที่ dev.live.com

เกาะทั้งสี่

การอบรมเริ่มที่การอธิบายถึง การดำรงชีวิตในยุคดิจิตอล (digital lives) ที่ต้องเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบทั้งหมด 4 กลุ่ม ซึ่งไมโครซอฟท์เรียกแต่ละกลุ่มว่า เกาะ (island) ได้แก่ เกาะของผู้คน (people), เกาะของอุปกรณ์ (devices), เกาะของแอพพลิเคชัน (applications), และ เกาะของข้อมูลที่เป็นหนึ่งเดียวกัน (data synchronization) โดยเกาะทั้งสี่นี้ก็คือวิสัยทัศน์ของไมโครซอฟท์ และไมโครซอฟท์ตั้งเป้าหมายไว้ว่าต้องพิชิตเกาะทั้งสี่นี้ให้ได้ ด้วยการรวมเกาะทั้งสี่ภายใต้กลุ่มเมฆเดียวกัน ซึ่งไมโครซอฟท์เรียกกลุ่มเมฆของตนว่า Azure

  • เกาะของผู้คน คือ มนุษย์ที่ใช้ชีวิตในยุคดิจิตอล

  • เกาะของอุปกรณ์ เกิดจากการที่ไมโครซอฟท์เล็งเห็นว่าเกาะ people เป็นเจ้าของหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์หรือ device เป็นอย่างมาก ตัวอย่่างของอุปกรณ์ ได้แก่ โทรศัพท์มือถือ (อย่าง Windows Mobile), พีดีเอ (เช่น Pocket PC), เครื่องเกมคอลโซล (เช่น XBOX 360), โทรทัศน์, เครื่อง set-top-box, Microsoft Surface, เครื่องเล่น MP3 แบบพกพา (เช่น Zune) และอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ

  • เกาะของแอพพลิเคชัน เป็นเกาะของกลุ่มซอฟต์แวร์ ซึ่งต้องยอมรับเลยว่า ไมโครซอฟท์เป็นเจ้าพ่อที่สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์หลากหลายประเภทและ ครอบคลุมความต้องการได้อย่างกว้าง ตั้งแต่ Microsoft Windows สำหรับเป็นระบบปฏิบัติการ, Microsoft Office สำหรับจัดการงานเอกสารสำนักงาน, Microsoft Encarta สำหรับการศึกษา, และซอฟต์แวร์เกมต่างๆในเครือ Microsoft Game Studios เป็นต้น

  • เกาะของข้อมูลที่เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นเกาะที่เกิดจากการประสานข้อมูลที่แชร์กันระหว่าง ผู้คน อุปกรณ์ และแอพพลิเคชัน หรือเรียกง่ายๆว่า เป็นการทำให้เกาะต่างๆเห็นข้อมูลเหมือนกัน ซึ่งระบบที่ใช้ในการประสานข้อมูลนี้มีชื่อว่า Live Mesh

วิสัยทัศน์ของไมโครซอฟท์ คือ เกาะทั้งสี่ ได้แก่

People, Devices, Applications, Data Synchronization

ผมขอเปรียบเทียบเกาะทั้งสี่ของไมโครซอฟท์ กับ กลยุทธ์ C3 ​​(Client Connectivity Cloud) ของกูเกิล ขออ้างอิงจากรายงาน Google Developer Day 2008 นำเสนอโดย mk

กูเกิลมีวิสัยทัศน์ว่า ผู้ใช้ ซึ่งเทียบได้กับ “เกาะของผู้คน” สามารถเข้าถึงบริการต่างๆที่ทำงานบนกลุ่มเมฆของกูเกิลผ่านเบราว์เซอร์ ทั้งนี้บริการของกูเกิลก็เทียบได้กับ “เกาะของแอพพลิเคชัน” โดยมีเบราว์เซอร์ทำหน้าที่เป็น client หรือตัวแทนของผู้คนในการเข้าถึงบริการต่างๆ และกูเกิลก็มี Gears สำหรับประสานข้อมูลระหว่างกลุ่มเมฆ กับ client ซึ่งเทียบได้กับ “เกาะของข้อมูลที่เป็นหนึ่งเดียวกัน” นอกจากนี้แล้ว กูเกิลยังมี Android ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ทำให้ผู้คนเข้าถึงบริการผ่านโทรศัพท์มือถือได้อีกด้วย และอุปกรณ์อย่างโทรศัพท์มือถือก็เทียบได้กับ “เกาะของอุปกรณ์”

กลุ่มเมฆของไมโครซอฟท์ ในนามว่า Azure

Azure คือ กลุ่มเมฆของไมโครซอฟท์ มีสถาปัตยกรรมดังภาพต่อไปนี้

alt text

ภาพรวมของสถาปัตยกรรมAzure มีอยู่ 3 ชั้น โดยชั้นล่างจะให้บริการงานเฉพาะทางแก่ชั้นบน ขออธิบายจากชั้นล่างขึ้นบน ดังนี้

  • Windows Azure คือ ระบบปฏิบัติการของกลุ่มเมฆ

  • องค์ประกอบหลักทั้งห้า (หรือ building blocks ทั้งห้า) ประกอบด้วยเฟรมเวิร์คและรันไทม์สำหรับการทำงานของบริการและซอฟต์แวร์ต่างๆ ที่อยู่ชั้นบนสุด ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ประเภท อันได้แก่ Live Services, .NET Services, SQL Services, Sharepoint Services, และ CRM Services โดยเราจะเรียกองค์ประกอบในชั้นนี้กับชั้นของ Windows Azure รวมกันว่า Azure Services Platform

  • ชั้นบนสุด เป็นซอฟต์แวร์และบริการที่ใช้โดยเกาะทั้งสี่ตามที่กล่าวไปแล้ว ทั้งนี้ การอบรมจะครอบคลุมเพียง Windows Live

ขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดของ Azure เพราะผมยังไม่ได้มีโอกาสริวิวมันแบบจริงจัง ดังนั้น ขอย้อนกลับมาที่ Live Services อันเป็นหัวข้อหลักของการอบรมนะครับ

พัฒนาแอพพลิเคชันด้วย Live Services

ขอกล่าวถึง Live Services แบบกว้างๆว่า Live Services เป็น ชุดพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ประกอบด้วยเฟรมเวิร์คและ API มากมายสำหรับการพัฒนาแอพพลิเคชันเพื่อเข้าถึงบริการต่างๆของ Windows Live และยังมีชุดพัฒนาสำหรับการประสานข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งนี้ Live Services ได้จัดเตรียมเครื่องมือสำหรับพัฒนาแอพพลิเคชันโดย Visual Studio .NET และที่สำคัญไปกว่านั้น Live Services ยังจัดเตรียมวิธีการพัฒนาแอพพลิเคชันที่อิงกับมาตรฐานสากล ทำให้รองรับภาษาคอมพิวเตอร์และแพลตฟอร์มอื่นๆได้อีกด้วย

alt text

ภาพข้างบน แสดงองค์ประกอบของ Live Services ทั้งหมด 6 องค์ประกอบด้วยกัน คือ Identity, Directory, Storage, Communications and Presence, Search and Geospatial, และ Mesh Services ผมจะไม่ลงรายละเอียดขององค์ประกอบทั้งหมดนี้ ผมเพียงอยากแสดงให้เห็นว่า แต่ละองค์ประกอบได้จัดเตรียมเครื่องมือและวิธีการพัฒนาซอฟต์แวร์ (เช่น API) ไว้สำหรับเรียกบริการเฉพาะทางที่อยู่บนกลุ่มเมฆ มาดูตัวอย่างส่วนหนึ่งของเครื่องมือเหล่านี้ว่ามีอะไรบ้าง

  • Windows Live ID SDK สำหรับจัดการข้อมูลประจำตัวของผู้ใช้ (ผู้ใช้อยู่บนเกาะของผู้คน) ที่เรียกว่า Windows Live ID (ชื่อเดิมคือ Microsoft Passport) ซึ่งตอนนี้สนับสนุน OpenID แล้วด้วย

  • Live Framework SDK สำหรับพัฒนาแอพพลิเคชันที่เรียกว่า Mesh-enabled ซึ่งจะกล่าวต่อไป

  • Live Search API สำหรับพัฒนาแอพพลิเคชันเพื่อค้นหาข้อมูลผ่านบริการ Live Search

  • Microsoft Virtual Earth SDK สำหรับพัฒนาแอพพลิเคชันเพื่อค้นหาข้อมูลอย่างเช่น ค้นหาแผนที่ของสถานที่ และพิกัดเส้นรุ่งเส้นแวงของสถานที่ ผ่านบริการของ Microsoft Virtual Earth

  • Live Services Communications and Messaging APIs สำหรับพัฒนาแอพพลิเคชันเพื่อรับส่งข้อความระหว่าง Windows Live Messenger, กำหนดสถานะของผู้ใช้ (Windows Live Presence), และรับส่งข้อความแจ้งเตือนของบริการ Windows Live Alerts นอกจากนี้แล้ว ยังจัดเตรียมไลบรารี JavaScript สำหรับพัฒนาโปรแกรมให้มีความสามารถอย่าง Windows Live Messenger อีกด้วย

  • Windows Live Spaces SDK สำหรับพัฒนาแอพพลิเคชันสำหรับจัดการข้อมูลข่าวสารบนบริการ Windows Live Spaces

  • Silverlight Streaming SDK สำหรับพัฒนาแอพพลิเคชันเพื่อจัดการไฟล์ที่อยู่บนบริการ Silverlight Streaming (เป็นบริการคล้ายๆ YouTube)

เราสามารถสร้างแอพพลิเคชันโดยใช้ API หลายชนิดเพื่อเข้าถึงบริการที่หลากหลายพร้อมกันได้ ท่านสามารถดูตัวอย่างของเว็บแอพพลิเคชันที่ใช้ Live Services ได้ที่ Quick Applications ในนั้นมีแอพพลิเคชันกว่า 10 ตัวให้เราได้ชม โดยกดที่ลิงค์ชื่อ Tour the Demo Site ของแอพพลิเคชันที่เราต้องการชม ลองเริ่มดูสาธิตที่ Tifiti และ Contoso Bicycle Club และถ้าท่านไม่สามารถเปิดแอพพลิเคชันบางตัวใน Quick Applications ได้ แนะนำว่าให้ท่าน sign in ด้วย Windows Live ID ของท่านผ่านการกดที่แท็ปชื่อ sign in นอกจากนี้ แอพพลิเคชันอาจต้องใช้ Silverlight ดังนั้นอย่าลืมติดตั้ง Silverlight ด้วย เท่าที่ผมทดลองใช้งาน แอพพลิเคชันเหล่านี้จะทำงานได้ดีบน IE และ Firefox

วิทยากรได้สาธิตวิธีการใช้เครื่องมือพัฒนาของ Live Services เพื่อเรียกบริการต่างๆ เริ่มตั้งแต่ Live ID, Live Search, Virtual Earth, Messenger, Presence, Alerts และ Silverlight Streaming ตามลำดับ ซึ่งหัวข้อทั้งหมดนี้ได้ถูกอบรมแบบอัดแน่นภายในวันเดียว นั่นคือวันแรกของการอบรม ส่วนวันที่สองซึ่งเป็นวันสุดท้ายจะเน้นไปที่ Live Framework SDK อันเป็นเครื่องมือพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับ Live Mesh

เชื่อมทุกเกาะด้วย Live Mesh

alt text

Live Mesh คือ ระบบสำหรับประสานข้อมูลระหว่างแอพพลิเคชันและอุปกรณ์ต่างๆ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ เชื่อมเกาะต่างๆให้อยู่ภายใต้กลุ่มเมฆเดียวกัน (นั่นคือ Azure) มากไปกว่านั้น Live Mesh ยังทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานแอพพลิเคชันได้ทุกเวลาแม้ว่าจะเชื่อมต่อหรือไม่ เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตก็ตาม ทำให้ผู้ใช้สามารถเปิดดูข้อมูลและแก้ไขข้อมูลได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าอุปกรณ์ต้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา แต่ทว่า การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจะทำให้ผู้ใช้ได้ข้อมูลที่ทันสมัย ทั้งนี้ เราจะเรียกแอพพลิเคชันที่สนับสนุนการประสานข้อมูลโดย Live Mesh ว่า Mesh-enabled (เวลาผมฟังวิทยากรออกเสียงคำนี้ เขาออกเสียงคล้ายคำว่า Meshable)

วิทยากรได้เปิดวิดีโอแนะนำ Live Mesh ด้วย อาทิเช่น วิดีโอชื่อ Synchronizing life ต่อไปนี้ (ผมเอามาจาก YouTube แนะนำให้เปิดดูแบบ HD)

http://www.youtube.com/watch?v=lFpwzg-AP_Q

คลิปวิดีโออีก 2 คลิปที่วิทยากรเปิดให้ดูช่วงพัก ดูได้จาก Channel 9 MSDN ในหัวข้อ Ori Amiga: Programming the Mesh และ Ori Amiga: Mesh Mobile

ลองเข้าไปใช้บริการ Live Mesh ได้ที่ mesh.com ผมเชื่อว่าหลายท่านในที่นี้ได้ลองใช้ Live Mesh แล้ว และเชื่อว่าหลายท่านยังไม่ประทับใจในความสามารถของ Live Mesh แต่ทางวิทยากรบอกว่า ตอนนี้ Live Mesh ยังอยู่ในช่วงทดลอง (หรือเบต้า) ดังนั้น ความสามารถของ Live Mesh ยังจำกัดอยู่เยอะ

เมื่อเราเข้าไปที่ Live Mesh ด้านบนจะมีแท็ปชื่อ Desktop กับ Devices ในส่วนแท็ป Devices เราสามารถเพิ่มอุปกรณ์ (ได้แก่ คอมพิวเตอร์, โทรศัพท์มือถือ, และอุปกรณ์อื่นๆ) ที่เราต้องการประสานข้อมูลระหว่างอุปกรณ์เหล่านั้น ส่วนแท็ป Desktop เป็นการเข้าไปจัดการ Desktop (เหมือน Desktop ของระบบปฏิบัติการ) ซึ่งเรียกว่า Mesh Desktop ส่วนนี้ เราสามารถสร้างโฟลเดอร์ใหม่ อัพโหลดไฟล์เข้าโฟลเดอร์ โพสต์ข้อความลงโฟลเดอร์ และอัพโหลดแอพพลิเคชันใหม่ๆลงไปได้ ซึ่งข้อมูลและแอพพลิเคชันเหล่านี้สามารถซิงค์หรือประสานให้อุปกรณ์ทุกตัวที่ เราใส่ในแท็ป Devices สามารถได้รับข้อมูลเดียวกัน (ทั้งโฟลเดอร์ ไฟล์ ข้อความ และแอพพลิเคชัน)

ใน Live Mesh คำว่า ประสานข้อมูลหรือซิงค์ข้อมูล หมายถึง เป็นการประสานทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บน Mesh Desktop ให้ทุกๆอุปกรณ์มองเห็นและใช้งานเหมือนกัน ในเวอร์ชันเบต้าของ Live Mesh เราอาจไม่เห็นอะไรมากมายนัก แต่ในเวอร์ชันเต็ม เราจะไม่ได้เห็นแค่เพียงโฟลเดอร์วางอยู่บน Mesh Desktop เท่านั้น แต่ว่าจะมีแอพพลิเคชันที่หลากหลายวางอยู่บน Mesh Desktop อีกด้วย ซึ่งแอพพลิเคชันเหล่านี้ก็เหมือนกับแอพพลิเคชันที่ทำงานได้บนคอมพิวเตอร์ ทั่วๆไป เช่น Notepad, Calculator, Paintbrush, Windows Media Player, เกม, หรือแม้แต่ Microsoft Office เป็นต้น และเราสามารถซิงค​์ให้อุปกรณ์ทุกๆเครื่องมีแอพพลิเคชันแบบเดียวกันได้

คำถามมีอยู่ว่าเราจะพัฒนาแอพพลิเคชันบน Mesh Desktop ได้อย่างไร ? คำตอบคือ Ajax กับ Silverlight ซึ่งจะอยู่ในหัวข้อ Live Framework

สร้าง Mesh ด้วย Live Framework

alt text

Live Framework หรือเรียกสั้นๆว่า Live FX (ก่อนหน้านี้เรียกว่า Mesh FX) เป็นเครื่องมือสำหรับการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อการประสานข้อมูลระหว่างเกาะ ต่างๆ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ Live FX เอาไว้พัฒนาแอพพลิเคชันให้มีความสามารถแบบ Mesh-enabled โดย Live FX จะจัดเตรียมวิธีการพัฒนาที่อิงกับมาตรฐานหรือเป็นที่ยอมรับกว้างขวาง อาทิเช่น REST, Atom, JSON, RSS, POX, และ FeedSync และแน่นอน Live FX ยังมี API สำหรับสาวก .NET นอกจากนี้ Live FX ยังจัดเตรียม API สำหรับพัฒนาแอพพลิเคชันบน Mesh Desktop ด้วย Ajax และ Silverlight อีกด้วย

โจทย์ปัญหาที่ว่าจะทำอย่างไรให้ประสานข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ที่มีอยู่หลาก หลายชนิดได้ คำตอบของไมโครซอฟท์คือ​ จัดเตรียมวิธีการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่อิงกับมาตรฐานดั่งที่กล่าวไปแล้ว ดังนั้น นักพัฒนาต้องเข้าใจการจัดการข้อมูลด้วย REST และมีวิธีจัดการรูปแบบของการนำเสนอข้อมูลอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ Atom, JSON, RSS และ POX และก็เข้าใจโปรโตคอล FeedSync ซึ่งวิธีการเหล่านี้ก็ไม่ได้จำกัดภาษาคอมพิวเตอร์หรือแพลตฟอร์มที่จะใช้ใน การพัฒนาเลย

แผนภาพข้างล่างนี้แสดงให้เห็นถึงแพลตฟอร์มและภาษาคอมพิวเตอร์ส่วนหนึ่ง ที่เอาไปใช้กับ Live FX ได้ ซึ่งไมโครซอฟท์เรียกการพัฒนาแอพพลิเคชันด้วย Live FX ว่าเป็นแบบ “Write Once, Run Anywhere” อย่างไรก็ดี ไมโครซอฟท์ก็ไม่ลืมที่จะจัดเตรียม API สำหรับนักพัฒนาที่ต้องการใช้ .NET Framework

alt text

สถาปัตยกรรมของ Live FX ออกจะซับซ้อน ผมเลยไม่แสดงภาพไว้ในที่นี้ ท่านใดสนใจสามารถเปิดดูจากลิงค์ต่อไปนี้ สถาปัตยกรรม Live FX ฉบับย่อ กับ ฉบับเต็ม

การอบรมได้จบที่ภาคปฏิบัติ โดยผู้เข้าอบรมต้องเขียนแอพพลิเคชันเล็กๆให้ทำงานบน Mesh Desktop นั่นคือแอพพลิเคชันสำหรับโหลดรูปภาพที่เก็บอยู่บน Flickr ขึ้นมาแสดง จากนั้น วิทยากรกล่าวว่า ถ้าหากเราสามารถพัฒนาแอพพลิเคชันบน Mesh Desktop ได้ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ยากเลยที่เราจะพัฒนาแอพพลิเคชันลักษณะเดียวกันให้รันบนแพ ลตฟอร์มหรืออุปกรณ์อื่นๆ เช่น iPhone, Android, XBOX 360, PlayStation 3, Linux และ Mac OS X เป็นต้น แน่นอนว่าเราไม่จำเป็นต้องใช้ Siverlight หรือ Ajax ในการสร้างแอพพลิเคชัน เราอาจจะใช้ Java FX, Adobe AIR, C++, หรือตัวอื่นๆก็ได้ ขอเพียงแค่ภาษาคอมพิวเตอร์หรือเฟรมเวิร์คสามารถพัฒนาแอพพลิเคชันที่เข้าใจ มาตรฐานในการจัดการข้อมูลดั่งที่ได้กล่าวไว้ก็พอ

หลังการอบรม

หลังจบการอบรม ในขณะที่ผมกำลังเดินทางกลับบ้าน ผมหวนคิดถึงเนื้อหาในหนังสือที่ผมเพิ่งอ่านไป ชื่อ The Big Switch Rewiring the World, from Edison to Google ในหนังสือได้อ้างถึงไมโครซอฟท์ในบทที่ 4 ชื่อ Goodbye, Mr. Gates ซึ่งกล่าวไว้ว่า ในวันที่ 30 ตุลาคม ปี พ.ศ. 2548 บิล เกตส์ ได้ส่งสารถึงบรรดาผู้บริหารระดับสูงและทีมวิศวกรของไมโครซอฟท์ ให้เริ่มแผนกลยุทธ์เทคโนโลยี ภายใต้ชื่อ “Internet Software Services” ซึ่งนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นก่อนไมโครซอฟท์ก้าวเข้าสู่ยุค “กลุ่มเมฆ” ผมเรียบเรียงใจความสำคัญส่วนหนึ่งของข้อความที่เกตส์ได้ส่งถึงกองทัพ ไมโครซอฟท์ไว้ว่า

เราไม่จำเป็นต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ที่คอมพิวเตอร์ของเรา เอง แต่เราสามารถใช้ซอฟต์แวร์ที่ให้บริการบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยองค์กรที่ สาม (third-party company) และผู้ให้บริการสามารถรองรับผู้ใช้ได้เป็นหลักสิบล้านถึงร้อยล้านรายพร้อมๆ กันได้ ซึ่งนี่จะเป็นเทคโนโลยีดิสรัปทีฟ (disruptive technology) ที่ครองตลาดและถูกใช้กันอย่างกว้างขวางต่อไป

จากข้อความดังกล่าว ผมมีความเห็นว่า การอบรม Live Services Jumpstart ครั้งนี้คงจะสอดคล้องกับแผนที่เกตส์เคยวางไว้เมื่อ 3 ปีก่อน โดยการอบรมนี้ก็เสมือนเป็นการสอนหรือสร้างกองกำลังเสริมของไมโครซอฟท์ ซึ่งเป็นกองกำลังที่ประกอบด้วยบุคคลภายนอก (นอกบริษัทไมโครซอฟท์) เป็นการอบรมให้กองกำลังเรียนรู้วิธีพัฒนาแอพพลิเคชันเพื่อทำงานกับ “กลุ่มเมฆของไมโครซอฟท์” การอบรมครั้งนี้ นับว่าเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดเลยทีเดียว เพราะด้วยทีมพัฒนาซอฟต์แวร์ของไมโครซอฟท์เพียงลำพัง คงมีกำลังไม่มากพอที่จะนำกลุ่มเมฆของตนครอบครองเครือข่ายอินเทอร์เน็ตให้ เป็นกลุ่มเมฆอันดับหนึ่งได้ ทั้งนี้ การยืมมือของกองกำลังเสริม ต้องเริ่มจากการปูทางให้กองกำลังเสริมได้ “เริ่มกระโดด” (Jumpstart) เข้ามาใน Live Services ซึ่งนับว่าเป็นการซ้อมรบครั้งยิ่งใหญ่ของไมโครซอฟท์ในศึกสงครามกลุ่มเมฆเลย ก็ว่าได้

ขอขอบคุณบริษัท ไมโครซอฟท์ ที่เอื้ออำนวยให้ไฟล์ต้นฉบับของสไลด์ส่วนหนึ่งที่ใช้ในการอบรมครั้งนี้แก่ผม และผมได้รับอนุญาตให้นำสไลด์มาใช้ประกอบเป็นภาพของรายงานครั้งนี้ด้วย และเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจ ผมได้อัพโหลดสไลด์ดังกล่าวไว้ที่ Scribd

ก่อนใครในโลก พบ "ไอโฟน นาโน" ในเมืองไทย!

ข่าวลือเรื่อง “ไอโฟน นาโน” ว่าจะทำการเปิดตัว ณ งาน MacWorld ครั้งสุดท้ายของแอปเปิลวันจันทร์หน้านี้ ล่าสุด AppleInsider พบไอโฟน นาโนของปลอมในไทยก่อนใคร

จากข่าวได้กล่าวว่า ผู้ผลิตไอโฟน นาโนปลอมเหล่านี้ น่าจะใช้รูปแบบเคสไอโฟน นาโนจาก XSKN ที่หลุดออกมาในอินเทอร์เน็ตก่อนหน้านี้มาเป็นต้นแบบ โดยจากทดลองใช้แล้วพบว่าหน้าตาก็มีคล้าย ๆ กับไอโฟนปลอมรุ่นอ่ืน และยังมีโลโก้แอปเปิลเหมือนของจริงอยู่ด้านหลังอีกด้วย

นับว่าเป็นโชคดีของคนไทยที่จะได้สัมผัสกับไอโฟน นาโนก่อนใครในโลกจริง ๆ

ที่มา - AppleInsider

iPhone nano clones in Thailand

iPhone nano clones in Thailand

iPhone nano clones in Thailand

iPhone nano clones in Thailand

iPhone nano clones in Thailand

iPhone nano clones in Thailand

iPhone nano clones in Thailand



iPhone nano clones in Thailand

วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2551

จับแบ๊งค์ปลอมด้วยอุปกรณ์เสริม




ใน ตอนช่วงปลายปี 2008 นี้ข่าวที่เป็นกระแสสังคมมากอันหนึ่งก็คือเรื่องแบ๊งค์ปลอมระบาด ซึ่งไม่ใช่มีแต่แบ๊งค์พันนะครับ แบ๊งค์อื่นๆก็มีแต่น้อยมาก มันทำเอาร้านค้าและผู้ใช้ต่างก็ไม่ค่อยไว้ใจกัน เอาแบ๊งค์พันไปซื้อของร้านก็ไม่อยากรับ หรือร้านค้าทอนแบ๊งค์พันมาคนซื้อก็ไม่อยากรับ เป็นอันว่าป่วนกันทั่วเมืองเลยงานนี้

สำหรับการตรวจสอบแบ๊งค์ปลอม จริงๆสามารถทำได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องอาศัยเครื่องมือใดๆ แต่หากเป็นคนที่ไม่มีความชำนาญแน่นอนว่าพลาดได้ง่ายๆ เช่น เค้าบอกว่าให้เอานิ้วลูบตรง คำที่เขียนว่ารัฐบาลไทย มันจะนูนๆ แต่ผมว่าลูบแล้วก็ยังยาก สงสัยนิ้วผมสากไปหน่อย คงต้องไปหานีเวียร์ทาเพิ่มแล้วหละ

อีก วิธีคือใช้ไฟ แบ๊คไลท์ ว่าแต่มันจะไปหาที่ไหนหละเวลาอยู่นอกบ้านต้องพกเครื่องแบ๊คไลท์ตั้งโต๊ะไป ด้วยหรือ? ไม่ต้องแล้วหละครับตอนนี้ที่เว็บ Brando ของ ฮ่องกงมีขาย ตกแล้วอันละสามร้อยกว่าบาท หรือ 8 USD

Specifications:

  • 2 x purple LED
  • 2 x CR1220 Lithium battery (replaceable)
  • Battery life is approximately 20 hours for continuous operation
  • Double sided tape on the back
  • Dimension: 5.6 x 2.9 x 0.6 cm

    เป็น ไฟฉายแบ๊คไลท์ ที่ทำออกมาสำหรับนำไปติดบนมือถือและ PDA Phone โดยเฉพาะ ใช้งานก็ง่ายเหมือนเปิดไฟฉายธรรมดานี่แหละครับ ทำงานด้วยแบตเตอรี่แยกต่างหาก เป็นถ่านลิเธียมแบบถ่านกระดุม


    ขนาด ไม่ใหญ่ไม่โต แต่หากใครชอบเครื่องบางๆอาจจะรู้สึกว่าเกะกะไปเหมือนกัน แต่มีก็ดีกว่าเหมือนกัน เจอแบ๊งค์ปลอมไปสักสองสามใบ ผมว่าเดือนนี้มีจุกแน่ๆ





    อันนี้แบ๊งค์ของ Hongkong มันจะขึ้นลายให้ทันทีเวลาฉายไฟ



    เอาไฟแบ๊คไลท์ส่องแล้วจะเห็นชัดขึ้นนะครับ



    ใน ภาพด้านบนอันนี้ของไทยครับ ผมเอาไฟฉายแบบ LED ส่องดู แบ๊งค์ 100 ไทย ตรงเส้นเล็กๆในกระดาษ เห็นเค้าว่าตรวจด้วยวิธีนี้ก็ได้เช่นกัน มันจะเขียนว่า 100 บาทชัดเจน ส่องกับแดดจะมองไม่เห็น



    พอ เห็นของ Brando แล้วทำให้ผมนึกถึงไฟฉายพวงกุญแจที่ผมพกทุกวันว่ามันก็หลอดไฟ LED เหมือนกันนี่หน่า ไฟแรงด้วย ราคาก็ไม่แพงซื้อมา 70 บาทเอง โคตรเวริคครับ ขอบอก แนะนำเลย ผมใช้ประจำใช้แทนไฟฉายปกติได้เลยเพราะสว่างมาก เลยนึกต่อไปว่าถ้าเราเปลี่ยนหลอดให้เป็นไฟสีม่วงมันจะใช้ได้ไหมนะ ? อันนี้ผมยังไม่ได้ลองนะ เพราะยังไม่มีเวลาไปบ้านหม้อไปหาซื้อหลอด LED สีม่วงมาเปลี่ยน



    ธนบัตร ของไทยเวลาเอา ไฟแบ๊คไลท์ส่อง หากเป็นของแท้จะเห็นเป็นเส้นด้ายคล้ายๆตัวหนอนสะท้อนออกมา ลองดูในภาพที่ผมวงไว้ เป็นเส้นด้ายคล้ายตัวหนอนต้นไม้ ( เส้นเหลือง ๆ ) อยู่บนพื้นผิวเต็มไปหมด เวลาโดนไฟแบ๊คไลท์จะเห็นชัดมากขึ้น



    สำหรับ วิธีตรวจสอบด้วยตาเปล่าง่ายๆ อีกวิธีที่น่าจะจำไปใช้กันนะครับ คือเอาแบ๊งค์ 1000 มาวางลง แล้วตรงตัวเลขจะเห็นว่ามีสองสี คือสีทองกับสีเขียว แต่พอเราหยิบแบ๊งค์ 100 วางเอียงๆ สัก 45 องศา จะเห็นว่าสีทองมันลาง และหายไปจะมองเป็นสีเขียวทั้งหมด ซึ่งหากเป็นแบบนี้แสดงว่าของแท้ แต่หากไม่มี ยังเป็นสีทองชัดเจนอยู่ คุณโดนมันเข้าให้แล้วหละ!




    ไว้ผมจะลองเอาไปเปลี่ยนหลอดสีม่วงดูนะ น่าจะได้ผลเหมือนกัน



    70 บาท สว่างมากครับ น่าซื้อใช้ แบตก็ทนมากด้วย คุ้มค่า ครับไม่ได้มาโฆษณา แต่ซื้อในห้างสรรพสินค้าแผนกรถยนต์นี่แหละ เห็นว่าถูกดี แล้วก็ไม่เกะกะด้วยครับ
  • http://mobile.brando.com.hk/prod_detail.php?prod_id=02794

    IT By Title Bloge ไทย: รีวิว แบบจุใจ ซัมซุง ออมเนีย ทุกอย่างในเครื่องเดียว

    รีวิว แบบจุใจ ซัมซุง ออมเนีย ทุกอย่างในเครื่องเดียว



    มาสักทีสำหรับ Review เครื่อง PDA Phone ของ Samsung รุ่น i900 ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่า Omnia ( ออมเนีย ) นั่น เอง มันแปลว่า มีทุกสิ่งทุกอย่างอะไรประมาณนั้นหละครับ สำหรับในบทความรีวิวครั้งนี้จะค่อนข้างยาวสักหน่อยนะครับ เพราะว่ามันมีเนื้อหาเยอะจริงๆ ผมเองก็พยายามลดทอนลงมาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะตัดยังไงเพราะเรื่องของ ออมเนีย นั้นมันเยอะจริงๆๆ มีทุกอย่างที่อยากให้ชมกันแบบเต็มๆ ในบทความนี้เลยอ่านกันเยอะหน่อยก็แล้วกัน สำหรับ เครื่องของผมตัวนี้อาจจะต่างจากเครื่องที่ออกขายในเมืองไทย เพราะเครื่องตัวนี้ผมหิ้วมาจากสิงคโปร์ ก่อนที่เครื่องในเมืองไทยจะออกขาย เลยซื้อแบบ 16 GB มาในราคาประมาณ 27,500 บาท ดังนั้นในบทความนี้ผมขออ้างอิงเครื่องรุ่นผมก็แล้วกัน แต่มันจะต่างจากเครื่องในเมืองไทยไม่มาก



    ผมขอเริ่มจากจุดเด่นน่าสนใจของเครื่องรุ่นนี้ก่อนก็แล้วกัน

    1.ตัวเครื่องออกแบบได้สวยมาก คล้ายๆกับ
    iPhone เลยครับ
    2.
    CPU แรงดีไม่มีตกด้วยความเร็ว 624 MHz Marvell PXA312

    3. RAM 128 MB
    4. Storage ภายในเครื่อง 16 GB ( เครื่องในเมืองไทย 8 GB )
    5. หน้าจอแบบยาว 3.2 นิ้ว 240*400 พิกเซล
    6. มี
    GPS ในตัวในแบบ A-GPS
    7. มี FM radio
    8. สามารถต่อ TV Out ได้
    9. แบตเตอรี่ค่อนข้างทน
    10. หมุนหน้าจอแนวนอน หรือแนวตั้งได้เองเพราะมี
    sensor ภายในและสามารถหมุนได้แทบหมดทุกโปรแกรมในเครื่อง
    11. ตั้งความไวตัว
    Sensor และระบบสั่นเวลากดปุ่มได้
    12. มีโปรแกรมที่เป็นเอกลักษณ์ให้มาเพียบ
    13. สามารถต่อหูฟัง 3.5
    mm ได้
    14. มีอินเตอร์เฟสหน้าจอ
    Today Screen หลายแบบ
    15. มี
    Touch Wiz UI
    16. กล้อง 5 ล้านพิกเซล พร้อม ออโต้โฟกัส

    มาดูจุดที่ผมไม่ชอบบ้างดีกว่า

    1.ไม่มีช่องเก็บ
    Stylus
    2.การกลับหน้าจอตัว Sensor ไวไปหน่อย
    3.ปุ่ม เปิดปิดการทำงาน กดไม่ค่อยสะดวก
    4. หน้าจอไม่มาตราฐาน มีผลกับบางโปรแกรม
    5. เมนูโปรแกรมพยายามทำให้สามารถใช้นิ้วกดได้ แต่เอาเข้าจริงลำบากกว่าใช้
    Stylus
    6. ช่องเสียบ Connector ไม่มาตราฐาน
    7. ช่องเก็บ
    Card อยู่ภายในต้องถอดแบตเตอรี่ออกก่อน
    8. ไม่มีคู่มือ มาให้ และไฟล์คู่มือที่
    Download มาเองก็ไม่ค่อยละเอียดเท่าที่ควร

    มาเริ่มดูภายนอกตัวเครื่องกันก่อนเลย



    ปีนี้ผมต้องยอมรับว่า Samsung มาแรงจริงๆสำหรับการออกเครื่องรุ่นนี้เพราะในต่างประเทศเครื่องรุ่นนี้ก็ถือ ว่าเป็นเครื่องยอดนิยมที่หลายคนให้ความสนใจ เพราะว่ามันมีทุกอย่างแทบจะครบถ้วนที่หลายๆคนอยากได้ ในราคาที่ไม่โหดร้ายจนเกินไปนัก สำหรับการแกะกล่องของผมเครื่องรุ่นนี้มันจะมีอุปกรณ์ให้มาพอสมควร โดยอุปกรณ์ที่ให้มาก็คือ

    1.ตัวเครื่อง
    2. สาย
    Sync และหม้อแปลง
    3. หุฟังแบบ รีโมท สามารถใช้หูฟังอื่นในขนาด 3.5
    mm มาต่อเพิ่มได้
    4.
    Memory Card
    5. CD โปรแกรม
    6.
    Stylus แบบสายห้อย

    สิ่งที่จำเป็นอย่างหนึ่งแต่ทาง
    Samsung ไม่ให้มาก็คือคู่มือการใช้งาน ให้เพียงแต่ Quick Start และในแผ่น CD ก็ไม่มีไฟล์ Manual แบบ PDF ให้มาด้วย ผมลองไปโหลดจากเว็บ Samsung มา ก็พบว่า คู่มือไม่ค่อยละเอียดเลย ถ้าเป็นมือใหม่สงสัย ต้องเหนื่อยกันหน่อย แต่ผมเชื่อว่าหลังจากเครื่องออกไม่นานรับรองว่ามีคนทำคู่มือภาษาไทยออกมาขาย แน่นอน ก็หวังว่าคุณ วิโรจน์ เว็บ Smart-mobile.com อาจจะเขียนเรื่องตัวนี้ก็ได้ เพราะรับรองเขียนกันมันส์แน่ มันมีลูกเล่นเพียบให้เขียนกันแบบเต็มๆ



    ตัวเครื่องรุ่นนี้จะมีหน้าตาหุ่นทรวดทรงคล้ายๆกับ iPhone ซึ่งหากจะบอกว่าเลียนแบบมาจาก iPhone หรือเปล่านั้น? ผมขอเรียกว่ามันเอาแรงบันดาลใจ ตามกระแส iPhone ดี กว่า ตัวเครื่องเป็นพลาสติกทั้งตัว ออกแบบได้เนี๊ยบมากครับ ตัวเครื่องเป็นสีเงินรมดำ ผมลองใช้มาสองสามอาทิตย์ เวลาใส่กระเป๋ากางเกงโดนกุญแจขูดขีดเป็นรอยขนแมวบ้างเล็กน้อย แนะนำว่าให้ใส่ซองหนังหรือซิลิโคนเคสน่าจะดีกว่า การออกแบบเครื่องรุ่นนี้มาแนวแบบเรียบๆง่ายๆ ปุ่มค่อนข้างน้อยกว่าปกติ ไม่มีปุ่ม Softkey ด้านหน้า มีเพียงปุ่มรับสายวางสาย และปุ่มควบคุมแบบ Optical Joystick ซึ่งจะเป็นระบบสัมผัส แต่สามารถกดลงไปได้เพื่อใช้คำสั่ง Enter หรือ OK




    ด้าน ข้างทางขวาของตัวเครื่อง มีปุ่มทั้งหมด สี่ปุ่ม ในภาพต้องขอโทษด้วยครับวางกลับหัวไปหน่อย ปุ่มบนสุดคือปุ่ม กดเรียกเมนูโปรแกรม ล๊อนเชอร์ของเครื่อง และถัดมาก็คือปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มถ่ายภาพสีแดงด้านล่างสุด ปุ่มของเครื่องรุ่นนี้เราสามารถเลือกตั้งได้ตามใจชอบนะครับ โดยแต่ละปุ่มสามารถสั่งได้สองคำสั่ง เช่นกดค้าง หรือกดทีเดียว จะสามารถตั้งโปรแกรมเมนูต่างกันได้ เช่นอย่างปุ่ม ชัตเตอร์ถ่ายภาพ ถ้ากดทีเดียวก็เป็นการเปิดโปรแกรม Media Album ของเครื่องแต่ถ้ากดค้างก็จะเป็นการเปิดโปรแกรมถ่ายภาพ




    ส่วนทางซ้ายมือของเครื่อง ด้านบนสุดเป็นสายคล้อง Stylus ครับ เพราะว่าเครื่องรุ่นนี้ทำแหวกแนว เอา Stylus มา ไว้ด้านนอกเป็นลักษณะสายคล้องแทน ซึ่งผมเองไม่ค่อยชอบตรงจุดนี้เท่าไรนัก มันห้องต่องแต่งเกะกะเหมือนกัน แต่หากเป็นสุภาพสตรีก็คงจะชอบเพราะมันน่ารักดีนะ ส่วนด้านล่างเป็นช่อง Connector ของเครื่อง ดดยจะใช้สายฌฉพาะของทาง Samsung เองไม่ใช่แบบ Mini USB แบบที่เคยเห็นกัน และสายในเครื่องรุ่น i780 ก็สามารถใช้งานร่วมได้ครับ ตรงจุดนี้ผมว่าหากใครเคยใช้เครื่อง Samsung มาก่อนก็เอาอุปกรร์เก่ามาใช้ได้ แต่กรณีใช้เครื่อง PDA Phone แบบอื่นๆที่เป็น mini USB ทำให้อุปกรณ์เก่าๆไม่สามารถนำมาใช้งานร่วมได้




    หน้าตาของ Connector เขาหละครับ เผอิญในชุดไม่มีสาย TV Out ให้มาด้วย ต้องซื้อเป็นอุปกรณ์เสริม ซึ่งจะเอาสายรุ่นอื่นมาใช้ร่วมก็ไม่ได้ ในการทดสอบของผมครั้งนี้เลยต้องขอข้ามเรื่อง TV out ไปก่อนเพราะพยายามหาสายแล้วไม่ได้ แต่จากข้อมูลของคุณ Seiyu ที่มาโพสในเว็บเผอิญแกได้สาย TV Out ที่แถมมากับเครื่องในช่วงเปิดตัว ก็ให้ความเห็นว่าเวลาต่อออก TV แล้วชัดแจ๋วเลยครับ



    ด้านล่างเรียสนิทครับ มีเพียงช่องไมโครโฟนสำรหับรับเสียงสนทนา



    ปุ่ม เปิดปิดเครื่องจะอยู่ด้านบน มันทำขนาดเล็กไปหน่อย และเรียบไปกับตัวเครื่องเวลากดต้องเอานิ้วจิกแทน ส่วนด้านข้างที่เห็นเป็นรูนั้นก็คือ รู Reset ของเครื่องนั่นเอง ตอนแรกผมหาตั้งนานว่ารู Reset มันไปอยู่ที่ไหนกันนะ อ้อ!! มาอยู่ด้านบนนี้เอง รูนี้รับรองว่าใครใช้เครื่อง PDA Phone แบบ Windows mobile ยังไงรับรองได้ใช้บริการจิ้มรูนี้แน่นอน แต่การใช้งานของผมมาตลอดหลายๆอาทิตย์ ก็ Reset ไปไม่กี่ครั้งเองครับ เครื่องค่อนข้างเสถียรดีมาก แม้ ROM จะเป็นคนละตัวกับเครื่องที่ขายในเมืองไทย ซึ่งจะให้ ROM ที่ดีกว่า




    ในภาพด้านบนเป็นตัว
    Stylus นะ ครับไม่ใช่ดินสอเขียนคิ้ว เพื่อนผมมาเจอคิดว่าใครเอาดินสอเขียนคิ้วมาห้อย ดูแล้วก็สวยดีเขียนถนัด แต่มันดูแต๋วๆไปหน่อยนะผมว่า ขนาดแท่ง Stylus ค่อนข้างใหญ่ จับถนัดมือดีครับ



    มันเป็น
    Stylus แบบ เสาอากาศสามารถยืดหดได้ แต่ดึงออกจากปลอกค่อนข้างลำบากสักหน่อยเพราะมันแน่นมากเลย แต่เรื่องน้ำหนักและการเขียนค่อนข้างมันส์ เพราะมันจับถนัดดีครับ แต่เบื่อตรงที่ต้องเอามาห้อยข้างนอกแบบนี้มันเกะกะมากทีเดียว ใช้แรกๆก็ไม่รู้สึกอะไร พอใช้ไปใช้มามีอาการรำคาญบ้างเล็กน้อย เพราะนิสัยผมเองชอบอะไรที่เก็บเป็นระเบียบมากกว่า




    ลำโพง โทรศัพท์จะอยู่ด้านหน้าครับ และที่แปลกก็คือลำโพงของการทำงานเครื่องทั้งหมดก็อยู่ด้านนี้เช่นกัน ซึ่งปกติเราจะเห็นมันแยกกันอยู่ แต่เรื่องคุณภาพความดังของเสียงลำโพงก็ดังสะใจมากครับ และเวลาวางเครื่องบนโต๊ะก็ไม่ต้องกังวลว่ามันจะแนบติดพื้นโต๊ะจนปิดลำโพง และในส่วนนี้จะมี Sensor แสงอยู่ภายในด้วย ส่วนด้านข้างลำโพงเป็นกล้อง สำหรับ Video Call การใช้งานในระบบ 3G ซึ่งบ้านเราก็คงจะอีกนานทีเดียว กล้องตัวนี้ไม่สามารถใช้ถ่ายภาพได้นะครับ



    บริเวณ ด้านหลังเป็นลักษณะ อลูมิเนียมบรัช เรียบไปทั้งแผ่น ซึ่งไม่มีตุ่มรองกันรอยใดๆทั้งสิ้น เวลาวางบนพื้นโต๊ะคงต้องหาอะไรมารองกันสักหน่อยกันเป็นรอย ตัวฝาเครื่องเป็นพลาสติกทั้งชิ้น แต่หุ้มด้วยอลูมิเนียมบรัช การปิดฝาให้เลื่อนลงด้านล่าง



    เผยโฉมครับภายในเครื่อง เครื่องรุ่นนี้ฝากับตัวเครื่องจะแยกชิ้นกันคนละส่วน

    เรื่องของแบตเตอรี่

    แบตเตอรี่ขนาด 1440 mAh ซึ่งในกล่องจะแถมแบตเตอรี่ให้มาเพียงก้อนเดียวเท่านั้น ซึ่งขนาดแบตเตอรี่ก็ค่อนข้างเล็ก ในตอนแรกผมเองก็กังวลครับว่ามันจะรอดไหมเนี่ย เพราะหน้าจอก็ใหญ่มากทีเดียว

    ใน การทดสอบของผมนั้นผมปิดการทำงานระบบสั่นทั้งหมดไว้ก่อน เพราะเครื่องรุ่นนี้มีลูกเล่นพิเศษที่หลายๆคนต้องชอบก็คือมันจะสั่นได้ เวลากดปุ่มต่างๆเพื่อเป็น
    Feed back ตอบสนองให้เรา รู้ ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นอีกปัจจัยที่กินไฟเหมือนกันผมเลยปิดมันไว้ก่อน ในการทดสอบของผมนั้น ผมพบว่ามันสามารถใช้งานแบบปกติได้ สองวันสบายๆ

    ผมลองทดสอบสอบชาร์จไฟจนเต็มตั้งแต่เช้าวันศุกร์ และมีการใช้งานตามปกติ มีการเปิด
    GPS และ WiFi บ้าง เล็กน้อย มีการพูดคุยโทรศัพท์ตลอดทั้งวัน และใช้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีการแจ้งเตือน ซึ่งการแจ้งเตือนว่าแบตเตอรี่หมดนั้นมันแจ้งเตือนผมตอนประมาณเที่ยงของวัน อาทิตย์ ซึ่งหากนับรวมๆแล้วผมว่า แบตเตอรี่รุ่นนี้อึดมากครับ เพราะทรัพยากรและลุกเล่นของเครื่องมากมายขนาดนี้แต่สามารถใช้งานได้นานหลาย วัน ตามสเปคแล้วเครื่องรุ่นนี้สามารถ Standby ได้นานถึง 500 ชมและสามารถพูดคุยต่อเนื่องได้นานถึง 6 ชม

    ดังนั้นเรื่องของแบตเตอรี่ของ ออมเนีย ผมให้เกรด
    B+ ไปแบบสบายๆ เลย



    สำหรับการถอดเปลี่ยน SIM หรือ CARD นั้น จะต้องถอดแบตเตอรี่ออกก่อนนะครับ และนี่แหละก็คือข้อเสียของเครื่องรุ่นนี้ ที่ทำให้หลายๆคนไม่ชอบ แต่หากเป็นเครื่องรุ่นของผม 16 GB ผมแทบจะไม่ต้องไปพึ่งพา Card อีกต่อไปเลย



    กล้องด้านหลัง 5 ล้านพิกเซลครับ พร้อมออโตโฟกัส สำหรับเรื่องกล้อง เดี๋ยวจะว่ากันอย่างละเอียดในส่วนต่อไปนะครับ สำหรับ Flash ในเครื่องรุ่นนี้สามารถใช้งานเป็นไฟฉายได้ด้วย ไฟสว่างจ้า มาก ขอย้ำครับว่าสว่างจริงๆ สามารถใช้งานแทนไฟฉายจริงๆได้เลยครับ




    ปุ่มด้านหน้ามีเพียงสามปุ่มก็คือ ปุ่มรับสาย วางสายและปุ่มควบคุมแบบ optical joystick ซึ่งเรามักจะเห็นผ่านตากันมาบ้างแล้วในเครื่องรุ่น i780 ก่อนหน้านี้ โดยปุ่มควบคุมแบบนี้ผมใช้แรกๆไม่ค่อยถนัดแต่ใช้ไปมาก็โอเคครับ ไม่ลำบากอะไรมาก แต่เอามาเล่นเกมส์คงจะลำบาก ปุ่มตรงกลางสามารถเลือกควบคุมได้สองโหมด คือแบบใช้ Mouse เลื่อนบนหน้าจอ หรือจะใช้ควบคุมแบบ Scroll แทน D PAD แบบเดิมๆ แต่ปุ่มมันสามารถกดลงเพื่อทำการยืนยัน หรือคำสั่ง Enter ได้อีกด้วย

    อย่างไรก็ตามความรู้สึกในการใช้งานของผมนั้น ผมก็ยังคงติดใจการทำงานในรูปแบบปุ่ม 5 ทิศทางแบบปกติ เพราะการเลื่อน
    Scroll ขึ้น หรือลง สามารถทำได้ง่ายกว่าใช้นิ้วลูบ

    หน้าจอสุดแปลก



    เครื่องรุ่นนี้หน้าจอมันจะแปลกว่าที่เราเคยๆเห็นกันมาครับ เป็นหน้าจอทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบแนวตั้ง โดยมี Sonsor ช่วยกลับหน้าจออยู่ภายใน และสำหรับตัว Sensor นั้นมันจะต่างกับของ HTC Touch diamond ตรงที่มันสามารถกลับหน้าจอได้แทบทุกโปรแกรมที่เราใช้งานอยู่ แม้แต่ Today Screen ก็ตาม ความไวของหน้าจอสามารถตั้งความไวได้ และสามารถ Mute เสียงเรียกเข้าได้หากเราคว่ำหน้าตัวเครื่องลง คล้ายๆกับของ HTC Touch Diamond

    ขนาดหน้าจอเครื่องรุ่นนี้เป็นขนาดหน้าจอที่พิสดารกว่าปกติเพราะเป็น WQVGA ไม่ใช่ VGA แบบ Touch Diamond โดยมีความละเอียดหน้าจอที่ 240x400 pixels บนขนาดหน้าจอที่ 3.2 นิ้ว การแสดงผลหน้าจอค่อนข้างละเอียดและสวยงามมากทีเดียว ผมว่าแทบจะไม่แพ้หน้าจอ VGA เลยก็ว่าได้ แต่หากเทียบกับ Touch Dimond การมองในกลางแจ้งยังสู้ของ Touch Diamond ไม่ได้ครับ การแสดงสีของ ออมเนีย จะอยู่ที่ 65 K และ ด้วยความพิสดารของหน้าจอ เลยทำให้ผมต้องลองทดสอบกับโปรแกรมหลายๆตัว ดูว่าจะมีผลอยางไรบ้าง ซึ่งก็ปรากฎว่า ในบางโปรแกรมจะมีผลด้านการแสดงผล ซึ่งไม่สามารถแสดงผลได้เต็มจอ แต่เท่าที่ลองๆกับโปรแกรมดังๆหลายตัวก็พบปัญหาบ้างแต่ไม่มาก

    ด้วยลักษณะหน้าจอแบบนี้ สิ่งที่ผมชอบก็คือการดูหนังบนเครื่องรุ่นนี้ มันสามารถแสดงผลในแบบ โหมด 16:9 ได้ สบายๆ และการเข้าดูเว็บไซด์ต่างๆก็ดูสบายตาขึ้นด้วย และที่สำคัญเรื่องแผนที่นำทาง สามารถดูได้แบบจอกว้างเลยครับ แจ่มจริงๆ แต่โปรแกรมแผนที่เป็นตัวไหนนั้นผมขอไม่พูดถึงก็แล้วกัน แต่ไม่ใช่ iGO แน่นอน เพราะ iGO ภาพไม่เต็มจอครับ ในเครื่องเวอร์ชั่นที่ขายในไทย จะให้โปรแกรมแผนที่ที่ชื่อว่า Route 66 แถมมาให้ฟรี ซึ่งความละเอียดก็พอไปวัดไปวาได้

    Home Screen แบบที่สอง







    Home Screen แบบ Widget




    หน้าจอโปรแกรมเครื่องรุ่นนี้เลือการแสดงผลได้หลากหลายรูปแบบ อาจจะตั้งเป็นแบบ Touch Wiz ที่เป็น Widget ก็ได้ โดยลาก icon ด้านข้างมาแสดงผลบนหน้าจอ หรือจะเลื่อนเก็บก็ได้ แถบเมนูด้านข้างสามารถใช้นิ้วเลื่อนสไลด์ได้ด้วย




    และในภาพด้านบนก็คืออีกหน้าจอหนึ่งซึ่งเราสามารถ set เองได้ ซึ่งเป็นหน้าย่อยในการเลือกแบบ Widget



    หู ฟังที่แถมมาให้คุณภาพเสียงพอไปวัดไปวาครับ จริงๆแล้วแทบไม่ต้องไปเปลี่ยนหูฟังอันอื่นเลย แต่หากอยากเปลี่ยนไปลองใช้แบบอื่นก็ยังคงสามารถเปลี่ยนได้ครับ



    หูฟังรุ่นนี้ตรงส่วนของ Remote สามารถนำเอาหูฟังตัวอื่นที่เป็น Jack แบบ 3.5 mm มาเสียบเพิ่มต่อได้

    ประสิทธิภาพการทำงาน

    การ ทำงานของ ออมเนีย เป็นที่กังขามาช้านาน ว่าเร็วจริงหรือไม่ เพราะเว็บบางแห่งก็บอกว่ามันทำงานช้า ซึ่งในการทดสอบและลองใช้ด้วยตนเอง CPU ระดับ 624 MHz หากจะว่าช้าคงไม่น่าจะใช่ครับ ปัญหาก็คือหากมีโปรแกรมทำงานพร้อมๆกันหลายตัวมันย่อมหน่วงเครื่องให้อืดตาม ไป ซึ่งเว็บไซด์ในต่างประเทศบางแห่งก็ออกมายืนยันในความผิดพลาดแล้วว่า เพราะเค้าลืมดูว่ามันมีโปรแกรมทำงานพร้อมๆหกันหลายตัวเลยทำให้เครื่องอืดลง ไป สำหรับการทดสอบของผมเอง ผมค่อนข้างประทับใจในความเร็วของเครื่องรุ่นนี้มากครับ ต้องบอกว่ามันทำงานเร็วทันใจจริงๆครับ โปรแกรม Task Manager ในเครื่องที่ให้มาไม่ค่อยดีเท่าไร ปิดโปรแกรมค่อนข้างยาก หากเทียบกับของทาง HTC แล้วโปรแกรม Task manager ของทาง HTC ประสิทธิภาพดีกว่าเยอะครับ เครื่องรุ่นนี้ใช้ RAM ขนาด 128 MB ทำงานได้คล่องตัวมากทีเดียว ประสืทธิภาพการทำงานเท่าที่ผมทดสอบมา การเล่นมัลติมิเดีย ไฟล์หนังก็ราบรื่นดีไม่มีกระตุก แต่หากเล่นไฟลืหนังแบบ HD ซึ่งใช้โปรแกรม DivX มา เปิดดูในเครื่อง ภาพจะกระตุกค่อนข้างมาก แต่หากมองในการใช้งานทั่วๆไปเครื่องรุ่นนี้จัดว่าเป็นเครื่องที่ทำงานเร็ว มากครับ ไม่มีอืดแน่นอน และ ROM ตัวที่ผมใช้ยังเป็นตัวเก่าอยู่ และคาดว่าของในเมืองไทยน่าจะทำงานเร็วกว่า ROM ของผมเสียอีก



    Memory ในเครื่องครับ



    หน่วยความจำในเครื่องแบ่งเป็น สามส่วน คือในส่วนของ
    Device ที่เป็น ROM และ MY Storage อีก 16 GB ตามมาด้วย Storage card ตามแต่ที่เราเลือกขนาดเพราะเครื่องรุ่นนี้สามารถรองรับ Card ความจุสูงได้ด้วย

    เรื่องประสิทธิภาพความเร็วลองดูจากกราฟเปรียบเทียบด้านล่างดูได้เลยครับ เร็วหรือไม่นั้นตามมาดูกันเลย

















    ประสิทธิภาพการทำงานของ GPS

    ในเครื่องรุ่นนี้ แผนที่ที่ผมได้มาคือแผนที่ของประเทศสิงคโปร์ครับ แต่ในเมืองไทยทาง ซัมซุง เค้าจะให้แผนที่ตัว Route 66 แถมมาให้ฟรี ซึ่งประสิทธิภาพของ Route 66 ที่ผมเคยใช้มา ในเขตกรุงเทพก็ละเอียดพอไหว การนำทางค่อนข้างแม่น แต่ POI น้อยไปหน่อย หากไปรอบๆกรุงเทพจะสังเกตได้ว่าไม่ค่อยเจอ POI เท่าไรนัก

    สำหรับตัวประสิทธิภาพการรับสัญญาณของชิพ GPS ใน เครื่องนั้น ในตอนแรกที่ผมได้เครื่องมาหลังจากลงแผนที่เรียบร้อยแล้ว ปรากฎว่ารอตั้งนานก็หาดาวเทียมไม่เจอ เลยต้องใช้วิธีเข้าไปที่ Settings เลือกเป็น Enhanced GPS เพื่อ Download ข้อมูลกำหนดตำแหน่งช่วยมันหน่อยโดยผ่านทาง GPRS หลัง จากนั้นก็ปิดมันไว้ แล้วมาลองกับโปรแกรมแผนที่อีกครั้ง ในการใช้ครั้งแรกจะใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที ก็จะมีขีดระดับโชวืมาค่อนข้างเต็มพิกัด หลังจากนั้นครั้งต่อๆไปก็จะเร็วขึ้นเยอะ ประมาณไม่เกิน 2 นาทีก็จับสัญญาณดาวเทียมได้ครบ การรับสัญญาณค่อนข้างดีมากครับ จับได้ไวมากทีเดียว
    เรื่องของกล้อง เรื่อง ของกล้องในเครื่องรุ่นนี้ และเรื่องโปรแกรมเกี่ยวกับภาพถ่ายต่างๆในเครื่องมาเล่าสู่กันฟังก่อนก็แล้ว กัน เพราะเรื่องมันย๊าววว ยาวว แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็มีภาพประกอบไปเกือบๆ 40 ภาพแล้ว และก็เป็นเรื่องที่หลายๆคนสงสัยว่า กล้อง 5 ล้านพิกเซลในเครื่องรุ่นนี้มันดีแค่ไหนกันนะ แต่บอกก่อนครับว่า บทความวันนี้ควรอ่านให้จบ เพราะมันมีเรื่องน่าสนุกและน่าสนใจตั้งแต่ต้นจนจบเลยหละครับ

    ไปดูคุณภาพของภาพถ่ายเครื่องรุ่นนี้ก่อนดีกว่า ( คลิ๊กที่ภาพเพื่อชมภาพขนาดจริงได้ครับ )









    ( ภาพในแบบพาโนรามา )

    มาดูโปรแกรม Camera กันก่อน

    เรา ลองมาดูโปรแกรมกล้อง หรือโปรแกรม Camera ในเครื่องรุ่นนี้กันก่อนดีกว่านะครับ โปรแกรมกล้องรุ่นนี้มีการใช้งานค่อนข้างง่าย แต่ปรับแต่งได้มากพอสมควร กล้องสามารถถ่ายได้เพียงสองโหมดเท่านั้น คือ โหมดภาพถ่าย กับโหมด VDO ซึ่งจะน้อยกว่าของ HTC ที่สามารถถ่ายแบบต่อเชื่อมกับ GPS ได้ด้วย กล้องด้านหน้าไม่สามารถใช้ถ่ายรูปได้ เอาไว้แค่ใช้งานใน Video Call ของระบบ 3G เท่านั้น
    รื่องของกล้อง เรื่อง ของกล้องในเครื่องรุ่นนี้ และเรื่องโปรแกรมเกี่ยวกับภาพถ่ายต่างๆในเครื่องมาเล่าสู่กันฟังก่อนก็แล้ว กัน เพราะเรื่องมันย๊าววว ยาวว แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็มีภาพประกอบไปเกือบๆ 40 ภาพแล้ว และก็เป็นเรื่องที่หลายๆคนสงสัยว่า กล้อง 5 ล้านพิกเซลในเครื่องรุ่นนี้มันดีแค่ไหนกันนะ แต่บอกก่อนครับว่า บทความวันนี้ควรอ่านให้จบ เพราะมันมีเรื่องน่าสนุกและน่าสนใจตั้งแต่ต้นจนจบเลยหละครับ

    ไปดูคุณภาพของภาพถ่ายเครื่องรุ่นนี้ก่อนดีกว่า ( คลิ๊กที่ภาพเพื่อชมภาพขนาดจริงได้ครับ )









    ( ภาพในแบบพาโนรามา )

    มาดูโปรแกรม Camera กันก่อน

    เรา ลองมาดูโปรแกรมกล้อง หรือโปรแกรม Camera ในเครื่องรุ่นนี้กันก่อนดีกว่านะครับ โปรแกรมกล้องรุ่นนี้มีการใช้งานค่อนข้างง่าย แต่ปรับแต่งได้มากพอสมควร กล้องสามารถถ่ายได้เพียงสองโหมดเท่านั้น คือ โหมดภาพถ่าย กับโหมด VDO ซึ่งจะน้อยกว่าของ HTC ที่สามารถถ่ายแบบต่อเชื่อมกับ GPS ได้ด้วย กล้องด้านหน้าไม่สามารถใช้ถ่ายรูปได้ เอาไว้แค่ใช้งานใน Video Call ของระบบ 3G เท่านั้น



    ผม จะไล่ให้ดูทีละเมนูเลยก็แล้วกันจะได้กระจ่าง เคลียๆหายสงสัย เมนูแรกก็คือเรื่องโหมดการถ่ายภาพ หรือ Shooting Mode ในแบบการถ่ายภาพนิ่ง สามารถเลือกได้หลายแบบ ทั้งถ่ายทีละภาพและถ่ายต่อเนื่อง และที่น่าสนใจ เล่นเอาผมตาค้างไปพักใหญ่ก็คือโหมดของ Panorama มันเจ๋งสุดๆๆ คือมันจะใช้ Sensor ตัวจับความเคลื่อนไหวเป็นตัวช่วย เวลาเราถ่ายภาพแรกปุ๊บ ก็เลื่อนมุมกล้องไปด้านข้างเพื่อจะได้ถ่ายแบบ 360 องศา พอขณะเลื่อนไป Motion sensor จะจับความเคลื่อนไหวและตีกรอบให้ เหมือนเวลาเล่นเกมส์เครื่องบินรบ จะมีศูนย์เล็งให้ และเมื่อภาพต่อเนื่องกันแล้วมันก็จะถ่ายให้เองอัตโนมัติ สรุปเพียงแค่เราหมุนกล้องไปรอบๆ มันก็จะทำการถ่ายภาพ พาโนรามาให้เอง โดยไม่ต้องเล็งเอง มันจะเชื่อมขอบภาพต่อให้เองแบบสุดเนียนอัตโนมัติ



    การปรับแต่งสามารถปรับรูปแบบการถ่ายได้ ตามสภาวะแวดล้อม ดยมีให้เลือกกันเพียบเลยตามภาพด้านล่างนี้



    ในภาพด้านล่างเป็นการปรับความละเอียดภาพ



    เลือกจะให้ Flash ทำงานก็ได้



    มีมาโครให้ด้วย ระยะมาโครเท่าที่ลองดูประมาณ 10 ซม ครับ



    สามารถปรับชดเชยแสงสว่างได้เพื่อความคมชัด



    พอถ่ายเสร็จจะมี Preview ให้เลือกว่าจะเก็บ หรือลบ หรือว่าจะส่งภาพต่อไปทาง Email หรือ MMS



    สามารถจัดเก็บเป็น Wall Paper หรือ Caller ID



    ใน ภาพด้านล่างคือโหมด พาโนราม่าที่เล่าให้ฟัง พอถ่ายภาพแรกปุ๊บจะมีกรอบ เพียงแต่เราเลื่อนหมุนกล้องไปตามลูกศร พอระดับมันได้มันจะถายให้เองครับ เพราะมันยึดตามโมชั่นเซ็นเซอร์ คล้ายๆพวกไจโร ในเฮลิคอปเตอร์บังคับ แบบนั้นหละครับ



    มาดูเรื่องของโหมดการถ่าย VDO บ้างครับ

    การปรับแต่งจะคล้ายๆกับโหมดถ่ายภาพนิ่ง



    สามรรถบันทึกได้สองแบบตมในภาพด้านล่างนี้



    ตั้งความละเอียดการถ่ายได้สามแบบ



    ในภาพล่างคือเมนู setting ครับ หากถ่าย VDO ในโหมด 640x480 จะเป็นแบบ 15 เฟรมนะครับ



    เจ๋งดี ถ่าย VDO ยังมีมาโครด้วย



    มาดูโปรแกรมภาพถ่ายเด็ดๆในเครื่องรุ่นนี้

    ในเครื่องรุ่นนี้จะมีโปรแกรมจัดการด้านภาพถ่ายและ VDO ให้มาสี่อย่างคือ

    1. Digital Frame โปรแกรมกรอบรูปตั้งโต๊ะพร้อมโชว์เวลา
    2. Media Album โปรแกรมจัดการด้านมัลติมิเดียในเครื่อง ตัวนี้เจ๋งมาก
    3. Photo slide เอาไว้หลอกสาวๆให้เคลิ้มไปกับภาพถ่ายในเครื่องและเสียงเพลงประกอบ แบบนุ่มนวลชวนฝัน
    4. Video Editor โปรแกรมตัดต่อ VDO ได้เลยบนเครื่องรุ่นนี้ แม่เจ้า แน่มาก

    โปรแกรม แรกที่อยากให้ดูคือ Digital Frame ครับ สามรถเลือกไฟล์ภาพจาก โฟลเดอร์ต่างๆในเครื่องมาแสดง เป็นกรอบรูปดิจิตอล สามารถเลือกสไลด์ได้ดดยกำหนดเวลาได้เอง




    ออกมาเป็นแบบภาพด้านล่างนี้ครับสวยดีนะ



    โปรแกรมต่อมา ตัวนี้เด็ดมาก ชื่อว่า media album โปรแกรมนี้ทำเอา สตี๊ฟ จ๊อบส์เกาหัวได้เลยครับ



    หน้าตาเมนูครั้งแรกเมื่อเข้ามาแบ่งตามชนิดของไฟล์มัลติมิเดีย ตือได้ทั้งภาพนิ่ง VDO และไฟล์เพลง



    โปรแกรม ดูภาพของเครื่องรุ่นนี้ผมว่า เจ๋งกว่า iPhone อีก Samsung คิดเก่งจริงๆ เพราะ Windows mobile ไม่มี Multi Touch การจะ Zoom ภาพจะเอานิ้วมาถ่างออกคงไม่ได้ เค้าเลยมีแถบเอานิ้วเลื่อนได้เลย ไม่ต้องจิ้มกางสองนิ้ว ผมลองใช้แล้วสะดวกกว่า iPhone อีกนะครับ ต้องลองเองแล้วจะรู้ว่า เจ๋งมาก และที่สำคัย เร็วด้วย เลื่อนปุ๊ปซูมปั๊ป ความเร็วไม่แพ้ iPhone เลยหละ



    ภาพสามรรถเลือกดูได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน หมุนเครื่องแล้วภาพจะกลับให้เอง แบบ iPhone



    Zoom แล้วครับตามในภาพด้านล่าง



    สามารถเลือกแบบสไลด์โชว์ได้ด้วย



    และ ที่น่าสนใจ เราสามารถใช้นิ้วเลื่อนภาพได้แบบ iPhone เลย ลื่นมาก ไม่มีอาการกระตุกเลย เรื่องความเร็วในการดูภาพ iPhone แบบไหน ออมเนีย แบบนั้นเลย จะว่าก๊อบปี้ iPhone มาก็เอาเถอะ แต่มันดีจริงๆยอมรับเลย



    เวลา Zoom หากภาพมีขนาดใหญ่ๆ จะใช้เวลา process เพื่อแสดงภาพประมาณ 2 วินาที



    เอานิ้วปัดเลื่อนเพื่อซูมได้เลย






    ในภาพล่างเป็นการเลื่อนภาพครับ ปัดไปปัดมา แบบ iPhone



    มา ดูโปรแกรมตัวต่อมาก็คือ Slide Show โปรแกรมนี้เอาไว้หลอกสาวๆได้ดีนัก เพราะมันเป็นโปรแกรมดูภาพสไลด์พรีเซ้นเทชั่นได้เจ๋งมาก เพราะมันมีการเฟดภาพไปมา ซูมนิดๆ ดูแล้วเคลิ้มดีครับ และที่สำคัญมันมีเพลงประกอบด้วย เราสามารถเลือกเพลงมาประกอบได้เอง ชอบมากเลยแบบนี้








    เลือกที่ Slide Show แล้วก็นั่งดูได้เลยครับ






    โปรแกรมจัดการด้านภาพและวีดีโอตัวสุดท้ายก็คือ Video Editor ผมไม่ขออธิบายก็แล้วกัน เพราะมันเยอะมาก อยากให้ไปลองเองดีกว่า



    หมด แล้วครับสำหรับเรื่องของ กล้องและการจัดการภาพถ่ายต่างๆในเครื่อง สรุปแล้วคุณภาพของกล้องรุ่นนี้ เพื่อนๆว่ามันเป็นอย่างไรหละครับ ลองตัดสินใจดูเองจากภาพตัวอย่างของผมที่นำมาฝากก็แล้วกัน ผมบอกก่อนนะครับผมเองไม่ใช่มือกล้องระดับเซียน แค่งูๆปลาๆ เพราะฉะนั้นหากใครมีความรู้เรื่องในการถ่ายภาพอาจจะได้ภาพที่ดีกว่าผมนะครับ

    มาดู Setting ของเครื่องที่ตั้งได้แหลก




    แถบ Personal

    ในส่วนของ
    Setting ของเครื่องในเครื่อง ออมเนีย บอกได้เลยว่า ยั๊วเยี๊ยะ ครับมันตั้งการทำงานได้เยอะมาก ในหน้าจอ Personal มันมีบางอย่างที่น่าสนใจกว่าปกติ

    1.
    Button เป็นการตั้งปุ่มเครื่องได้หลากหลายแบบ จะต่างกับเครื่องรุ่นทั่วๆไป และในการ unlock เครื่องเองอัตโนมัติ ก็จะอยู่ในการตั้งส่วนนี้ด้วย โดยปกติแล้วการ Lock หน้าจอขณะไม่ใช้งานนั้น เราเพียงแต่ไป set ค่า Device lock ที่ตัว Today ก็ใช้ได้แล้ว แต่ในเครื่องรุ่นนี้ต้องมาปลดในส่วนของ Button นะครับ ใครซื้อเครื่อง ออมเนียมา ต้องเจอปัญหาเครื่อง Lock หน้าจอจนน่ารำคาญแน่นอน ต้องมาแก้ที่นี่ครับ

    2.
    Theme เป็นการตั้ง ธีม เมนูตามใจชอบและตั้งสีของ Text ได้ด้วย



    3.
    Vibe Tonz เป็นการตั้ง Feedback สั่นเวลากดปุ่ม เครื่องรุ่นนี้จะต่างจากเครื่องรุ่นอื่นๆคือเวลากดปุ่มเครื่องสามารถทำให้ เครื่องสั่นได้นิดๆเพื่อบอกให้รู้ และสามารถตั้งจังหวะการสั่นได้หลายแบบด้วย ไฮโซมากครับ




    แถบ Systems

    มีอะไรแปลกๆได้ลองเยอะครับ

    1.
    Backlight แบบไฮโซ แสดงแถบสีได้เยอะ
    2.
    Enhanced GPS เป็นการ Download ตำแหน่งในการใช้ GPS ซึ่งการใช้งาน GPS ครั้งแรกควรให้มันโหลดก่อนครับ ไม่งั้นจะไม่เจอสัยญาณดาวเทียม
    3.
    Finger mouse เป็นการเปิดโหมดใช้ Mouse แสดงบนหน้าจอ แทนการใช้ Touch Pad ถูไปมา ตรงส่วนของ Optical Joystick หรือปุ่มด้านหน้า
    4.
    Large Display การแสดงแถบเมนุแบบใหญ่
    5.
    Hard reset แบบเท่ห์ๆๆ สามารถเลือก hard reset ได้ว่าจะ Hard เฉพาะใน Memory เครื่องอย่างเดียว หรือใน My Storage ซึ่งเป็นพื้นที่ Flash memory ขนาดใหญ่ ( 8/16 GB ) หรือ จะ Hard ในส่วน memory card ก็ได้ ถ้าเอาแบบหมดจดก็เลือก Hard reset ทั้งหมดเลยก็ได้
    6.
    Motion sensor เป็นการตั้งความไวของการกลับหน้าจอเครื่อง และการตั้งว่าจะให้เครื่อง Mute
    เสียงด้วยการคว่ำหน้าเครื่องขณะมีสายเรียกเข้าหรือไม่




    แถบ Connections

    1. Browser Conncetion เลือกการเชื่อมต่อขณะเปิด Browser ว่าจะให้เชื่อมต่อแบบไหน Internet หรือ Work
    2. Data Call manager การจัดการด้านการโทร
    3.
    USB Connections เป็นการเลือกว่า เมื่อเสียบสายต่อกับ PC จะให้เชื่อมต่อแบบ Active sync หรือจะให้ PC มองว่าเป็น Drive เพิ่มเติม
    4.
    Operator settings เป็นการตั้งค่าการใช้ GPRS อัตโนมัติตาม เครือข่ายผู้ให้บริการ

    โปรแกรมที่แถมมาให้ในเครื่อง



    สำหรับในเครื่องรุ่นนี้ให้โปรแกรมเด็ดๆอะไรมาให้บ้างเราจะมาดูกัน

    1.เกมส์
    2.
    Office mobile โปรแกรมพวก Word /Excel/ Power point
    3. Activesync
    4. Alarms เป็นโปรแกรมตั้งปลุกได้หลากหลายเวลา
    5.
    Calculator โปรแกรมเครื่องคิดเลขมาตราฐาน
    6. Call log โปรแกรมคล้ายๆ Call History แต่สามารถใช้นิ้วเลื่อนได้
    7.
    Camera
    8. Contacts
    9. Digital Frame โปรแกรมกรอบรูปตั้งโต๊ะ
    10.
    FM radio
    11. file explorer
    12.Google Launcher โปรแกรมการค้นหา ข้อมูล และเช็ค Gmail แต่ต้องต่อผ่าน GPRS หรือ WiFi
    13. Google Maps
    14.Internet Explorer
    15. Internet Sharing ต่อ Modem ไร้สายกับ Notebook
    16. Java
    17.Main menu โปรแกรม ล๊อนเชอร์ของเครื่อง
    18.
    Media Album โปรแกรมดูภาพ แบบ iPhone
    19. Messenger
    20.Notes
    21. Photo Slide โปรแกรมดูภาพสไลด์พร้อมเพลงประกอบ หรูมากมาย
    22.
    Pod Cast ฟังวิทยุในแบบ iPod
    23. RSS reader
    24. Search
    25. Smart Converter โปรแกรมแปลงค่าหน่วยต่างๆแบบใช้นิ้ว
    26.
    Streaming Player
    27. Task manager
    28. Task switcher โปรแกรมเรียกโปรแกรมที่ Run Background มาโชว์
    29.
    Touch Player โปรแกรมเล่นเพลง ดูหนังแบบ iPOD
    30. Video Editor โปรแกรมตัดต่อ VDO

    เครื่องที่จำหน่ายในเมืองไทยอาจจะมีโปรแกรมแตกต่างจากของผมนะครับ

    ระบบมัลติมิเดีย



    การดูหนังในช่วงแรกผมดูด้วยไฟล์มาตราฐาน
    WMV ด้วยโปรแกรม Windows Media Player ของเครื่อง หนังก็ราบรื่นดีครับ หลังจากนั้นผมไปโหลดหนังตัวอย่างในแบบไฟล์ HD ซึ่งมีขนาด 90 MB เอามาลงในเครื่องแล้วโหลดโปรแกรม Player อย่าง DivX player mobile มาเปิดดู ภาพก็ชัดเจนดีมาก แสดงผลเต็มจอเต็มตา แต่ทว่าไฟล์หนังมันจะกระตุกนิดหน่อย

    สำหรับโปรแกรมเล่นเพลง ในเครื่องจะมีโปรแกรมที่ชื่อว่า
    Touch Player แถมมาให้ ซึ่งเราสามารถ จัดเลือกเรียงเพลงตาม album, artist, genre หรือแม้แต่ create custom playlists. การเรียงเพลงตาม album เรายังสามารถใส่ปกเพลงได้อีกด้วยครับ




    หน้าตาโปรแกรมดูง่ายสบายตา สามารถใช้นิ้วเลื่อนเลือกเมนูต่างๆได้ค่อนข้างสะดวก



    กรณีใส่ปกเพลงจะมีการโชว์ปกเพลงขณะเล่นด้วย แต่จากการทดสอบพบว่า โปรแกรมนี้ไม่มี
    EQ มา ให้ ดังนั้นการปรับแต่งเสียงเพลงจึงไม่สามารถทำได้ คุณภาพเสียงของการฟังเพลง ซึ่งฟังด้วยหูฟังที่แถมมาให้ ปรากฎว่าเสียงค่อนข้างแบนราบ ไม่มีมิติเลยในช่วงแรกๆ ต้องใช้หูฟังไปสักพัก อาทิตย์กว่าๆรู้สึกว่ามันเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น แต่หากจะให้ดีแนะนำว่าให้เปลี่ยนหูฟังดีกว่าครับ เพราะตัวรีโมทมันมีรูขนาด 3.5 mm สามารถเอาหูอื่นที่มีขนาดเท่ากันมาใช้แทนกันได้

    ระบบโทรศัพท์



    ระบบโทรศัพท์ของ น้องออมเนียนั้นเป็นระบบ ระบบ UMTS / Quadband (GSM 850/900/1800/1900 MHz) ซึ่งสามารถใช้งานได้หลากหลายประเทศ ผมเองได้ทดสอบเรื่องสัญญาณโทรศัพท์ของเครื่องมาตลอดหลายอาทิตย์ สัญญาณดีครับไม่มีแกว่ง ไม่มีปัญหาใดๆ แป้นกดของโทรศัพทืรุ่นนี้ค่อนข้างใหญ่กว่าปกติ ขนาดตัวแป้นพอๆกับของ iPhone เลยหละครับ กดง่ายนิ้วใหญ่ๆก็กดได้ไม่มีพลาด แต่บนหน้าจอโทรศัพ?เมนูบางอย่างถูกตัดออกไป เช่น Call History จะเป็นลักษณะการโชว์แบบ Smart Dialing แต่สามารถเลือกซ่อน Keypad เพื่อดู Contact ได้

    โปรแกรมจัดการด้าน
    Contact ในเครื่องจะทดแทนด้วยโปรแกรม Phonebook ซึ่งเป็นโปรแกรมของทาง Samsung เอง ผมลองใช้งานดูแล้ว ไม่ค่อยไหวเท่าไรนัก ดูง่าย ค้นหาง่าย ใช้นิ้วได้ แต่เวลาใช้งานจริงก็ต้องพึ่ง Stylus อยู่ดี เพราะมันเลื่อนจอไม่ค่อยไป ไม่เหมือน iphone หลายๆโปรแกรมของ Samsung ที่ทำออกมารองรับการใช้นิ้วควบคุม พบว่ามันใช้งานจริงไม่ค่อยได้ผลเท่าไร เพราะยังไงมันก็คือ Windows mobile ต้องอาศัย Stylus
    อยู่ดี

    ส่วนเสียงเรียกเข้านั้น ลำโพงดังสนั่นครับ คุณภาพเสียงสนทนาชัดเจนดีมาก ไม่ว่าจะคุยผ่านตัวเครื่อง หรือผ่านทางหูฟัง
    Bluetooth




    เมนูโปรแกรมโทรศัพท์ในเครื่องครับ



    โปรแกรม Phone book
    ที่ดูสะอาดสบายตา ค้นหาง่าย แต่เลื่อนจอสไลด์ขึ้นลงไม่ค่อยได้ เพราะพอเอานิ้วแตะแล้วมันจะเข้าการโทรทุกทีเลย

    FM radio

    โปรแกรม การฟังวิทยุในเครื่องรุ่นนี้ ต้องต่อสายหูฟังเหมือนรุ่นอื่นๆ ครับในส่วนนี้ผมทดสอบดูแล้ว คุณภาพเสียงค่อนข้างชัดเจนดีครับ การรับสัญญาณสู้ FM radio จริงๆไม่ได้ แต่ก็ยังจัดว่าไม่ได้แย่ ยังฟังแบบเป็นเรื่องเป็นราวได้สบาย ๆแถมยังอัดเสียงได้อีกต่างหาก



    บทสรุป



    ขอถอนหายใจสักเฮือกใหญ่ๆ เพราะรีวิวนี้มันยาวมากจริงๆ ขนาดเขียนจบไปก่อนหน้านี้ 4 ภาค แล้วมันยังมีอะไรต่อมิอะไรให้เขียนกันได้อีกค่อนข้างเยอะ เอาหละครับผมขอสรุปเรื่องของ ออมเนีย กันสักหน่อย สำหรับเครื่องตัวนี้ผมได้มาจากต่างประเทศ ในบทความอาจจะมีความแตกต่างจากเครื่องที่ขายในเมืองไทยนิดหน่อย แต่ประสิทธิภาพการทำงานต่างๆก็คงเหมือนกัน สำหรับตัวผมเองแล้วผมค่อนข้างประทับใจกับการใช้งานเครื่องรุ่นนี้มากทีเดียว เพราะ

    1. มันให้ความตื่นเต้นแปลกตาตั้งแต่แรกเปิดกล่อง และเปิดเครื่อง พอเปิดมาปุ๊บเจอหน้าจอ
    Widget แล้วลองเลื่อนลากมันดูสิครับว่า มันจะเป็นอย่างไร ผมไม่บอกละกันว่าจะเจออะไร ที่เครื่องรุ่นอื่นไม่เคยมี
    2. ประสิทธิภาพความเร็วทันใจ
    3. หน่วยความจำเหลือเฟือ
    4. กล้องสุดยอดครับ ยกนิ้วให้สองนิ้วเลย
    5. เครื่องออกแบบได้ดีมากพกพาสะดวกดี
    6. โปรแกรมต่างๆมีให้เลือกเล่นเพียบ การตั้งค่าต่างๆทำได้เยอะมาก มากกว่าเครื่องที่เคยเจอและทดสอบมา
    7. มี
    Home Screen หลากหลายแบบ

    แต่สิ่งที่ผมไม่ค่อยชอบก็มีเหมือนกันนะ ดดยเฉพาะเรื่อง
    Stylus เป็นปัญหาหลักผมเลย เอามาห้อยไปห้อยมา ตอนนี้ Stylus ผมหายไปแล้วด้วยสิ คงต้องไปหาซื้อใหม่อีกด้าม ซวยเลย ! ดึงออกก็ยาก ห้อยไปห้อยมาดูหวานๆพิกล การทำงานของ Motion sensor ในเครื่องรุ่นนี้ไวเกินไปครับ บางครั้งไวจนน่ารำคาญเหมือนกันจนต้องปิดไปก่อน

    สิ่งที่ไม่ค่อยประทับใจในส่วนต่อมาก็คือโปรแกรมหลายๆตัวในเครื่องพยายามจะทำเป็น
    Touch Interface คือใช้นิ้วควบคุมแต่เอาเข้าจริง ยังตอบสนองไม่ค่อยดีนัก เพราะว่ายังไงมันก็คือ Windows Mobile ที่ต้องใช้ Stylus มากกว่าที่จะใช้นิ้ว ส่วนเรื่องอื่นๆ ยังโอเคครับ

    เครื่องรุ่นนี้ผมคิดว่าหากใครได้สัมผัสตัวจริงต้องชอบมันแน่นอน เพราะมันมีเอกลักษณ์และลุกเล่นที่แตกต่างจากเครื่องรุ่นอื่นๆ มีฟังค์ชั่นการทำงานที่เรียกได้เลยว่าครบครันจริงๆ ในราคาเครื่องที่เปิดตัวมาแบบไม่โหดร้ายจนเกินไปนัก คุณภาพตัวสินค้าเท่าที่ผมทดสอบมาหลายอาทิตย์ยอมรับครับว่า ของเค้าโอเคเลย อาการเพี๊ยนๆ บ้าๆบอๆยังไม่เจอ แต่หากใครไม่เคยใช้ PDA phone ในแบบ Windows mobile มา ก่อนผมว่าเหนื่อยกว่ารุ่นอื่นๆหน่อย เพราะเครื่องมันตั้งค่าได้เยอะ แต่ในทางกลับกันคู่มือไม่มีมาให้ และไม่ค่อยละเอียดด้วย แต่โดยรวมๆผมอยากบอกว่า ให้ไปลองดูครับแล้วจะตื่นตาตื่นใจเหมือนผม
    สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นจริงๆ

    ที่มาhttp://www.mrpalm.com

    http://www.omnia.in.th/