วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2552

ศาลจีนตัดสินให้ผู้ขายซอฟต์แวร์เถื่อนติดคุก

ตัวแทนฝ่ายกฎหมายของไมโครซอฟท์ ออกมาเปิดเผยว่า ศาลจีนได้ตัดสินใจผู้ขายซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ของไมโครซอฟท์จำนวน 11 คน รับโทษจำคุกระหว่าง 1 ปีครึ่ง-6 ปีครึ่ง ซึ่งถือเป็นโทษสูงที่สุดเท่าที่เคยถูกใช้ตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์ของจีน

การจับกุมผู้กระทำผิดในคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2007 โดยความร่วมมือของเจ้าหน้าที่ทางการจีนและ FBI ผู้กระทำผิดอาศัยอยู่ในตอนใต้ของมณฑลกวางตุ้ง ไมโครซอฟท์ให้ข้อมูลว่าการจับกุมครั้งใหญ่ครั้งนี้เกิดจากข้อมุลที่ได้จาก Windows Genuine Advantage รวมกับการรายงานของลูกค้าและตัวแทนจำหน่ายของไมโครซอฟท์ จากนั้นได้ทำการล่อซื้อก่อนจะจับกุม

ที่มา - Mercury News

7 วันอันตราย 3 วัน เสียชีวิตรวม 226 คน เจ็บอีกกว่า 2,500 คน

วันนนี้ (2 ม.ค.) นายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงสถิติของผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในช่วง 7 วันอันตราย ในวันที่ 1 มกราคม 2552 ว่า มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น 851 ครั้ง บาดเจ็บ 909 คน เสียชีวิต 83 คน สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ เมาสุรา ร้อยละ 51.70 และสถิติสะสมช่วง 3 วันแรก พบว่าเกิดอุบัติเหตุแล้ว 2,329 ครั้ง เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 364 ครั้ง บาดเจ็บ 2,504 คน เพิ่มขึ้น 373 คน เสียชีวิต 226 คน เพิ่มขึ้น 38 คน

นายมานิตย์ กล่าวอีกว่า จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด ช่วง 3 วันแรกของการรณรงค์ช่วง 7 วันอันตรายเทศกาลปีใหม่ 2552 ได้แก่ จ.เชียงราย ตาย 14 คน รองลงมาเป็น จ.นครราชสีมา และ จ.นครสวรรค์ จังหวัดละ 9 คน

ไมโครซอฟท์รักษ์โลกสีเขียว

กูเกิลได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอันดับต้นในวงการไอที [ข่าวเก่า] หรือเรียกกันว่าเป็นผู้นำด้าน “กรีนไอที” ข่าวล่าสุดจากคู่กัดของกูเกิลอย่างไมโครซอฟท์ ได้ออกมาเปิดเผยให้ชาวโลกทราบว่า ไมโครซอฟท์ก็ไม่ยิ่งหย่อนในเรื่องกรีนไอทีเช่นกัน

ไมโครซอฟท์ออกวารสาร The Architecture Journal ฉบับที่ 18 ภายใต้หัวข้อชื่อ Green Computing ซึ่งเน้นไปที่การออกแบบและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม อาทิเช่น การออกแบบศูนย์ข้อมูลที่ใช้ต้นทุนต่ำ แต่ให้ประสิทธิภาพการทำงานที่สูงและประหยัดไฟ, การใช้เทคโนโลยี virtualization เพื่อกรีนไอที และการออกแบบแอพพลิชันที่ช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้า เป็นต้น ในบทสุดท้ายยังกล่้าวถึงตัวอย่างการบริหารจัดการ SQL Server โดยใช้วิธีการรวมระบบ (server consolidation) ของเทคโนโลยี virtualization อันทำให้ประหยัดต้นทุนในการรันระบบ (รวมค่าไฟด้วย) ได้กว่า 11 ล้านเหรียญต่อปี

จากการที่ผมอ่านวารสารฉบับนี้ในบางบท พบว่าเนื้อหามีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่ต้องการออกแบบระบบสารสนเทศที่คำนึง ถึงการรักษาสิ่งแวดล้อม ท่านที่สนใจสามารถดาวน์โหลดวารสารเล่มนี้ได้ฟรีที่ MSDN

ที่มา - InfoWorld

Android ลงบน Netbook สำเร็จแล้ว

ในเว็บนี้คงพอได้ยินข่าวจากงาน เปิดตัว Android จากลอนดอนว่าแนวโน้มจะนำมาลงเครื่อง x86 ได้ในอนาคต แต่วันนี้เองทีมแฮกเกอร์จาก VentureBeat ได้ประกาศว่าพวกเขาสามารถติดตั้ง Android ลงไปยังเครื่อง Eee PC 1000H สำเร็จแล้ว หลังการดัดแปลงโค้ดเป็นเวลาสี่ชั่วโมง

เรื่องที่น่าสนใจคือโค้ดของตัว Android ที่ปล่อยออกมานั้นเตรียมการสำหรับเครื่อง x86 ไว้ค่อนข้างมากแล้ว ตัวเคอร์เนลเองมีตัวแปล “policy” สำหรับเครื่อง MID ซึ่งก็คือเครื่อง x86 นั่นเอง ส่วนโค้ดส่วนอื่นๆ นั้นค่อนข้างเป็นกลางต่อสถาปัตยกรรม

ทีมงาน VentureBeat ลง Android โดยสามารถใช้อุปกรณ์ทั่วไปได้ค่อนข้างสมบูรณ์ทั้งจอภาพที่ยืดเต็มจอได้, แลนไร้สายที่ทำงานถูกต้อง, และการ์ดเสียงเองก็ทำงานได้สมบูรณ์

ความง่ายของการพอร์ตนี้ทำให้คิดได้ว่าภายในกูเกิลเองก็น่าจะมีการทดสอบ ตัว Android กับ x86 อยู่ภายใน และแผนการนำ Android ไปลงเครื่อง MID คงอยู่ไม่ไกลนัก

ปัญหาสำคัญคือแล้วจะวางขายจริงเมื่อใหร่ เรื่องนี้ทาง VentureBeat เดาไว้ว่าน่าจะประมาณปี 2010 เราคงได้เห็น Android เริ่มบุกโลก x86 ที่เป็นพื้นที่ดั้งเดิมของไมโครซอฟท์แล้วจริงๆ

ที่มา - VentureBeat

MacWorld ปีนี้มาแปลก แอปเปิลไม่ยอมเปิดให้เห็นป้าย

แต่ละปี ก่อนงาน MacWorld นั้น แอปเปิลมักจะปล่อย Teaser ออกมาก่อน โดยส่วนใหญ่แล้วจะอยู่บนหน้าแรกของเว็บ และตามป้ายต่าง ๆ ในตัวงาน MacWorld เอง

ในปีนี้ แอปเปิลไม่ได้ปล่อย Teaser หรือเปิดให้เห็นป้ายต่าง ๆ ในงานแต่อย่างใด เว้นไว้แค่เพียงป้ายหลาย ๆ จุด ที่มีผ้าคลุมสีขาวปิดเอาไว้

ส่วนทางผู้จัดงานเอง (ไม่ใช่แอปเปิล) ได้ติดป้ายตามจุดต่าง ๆ ของเมือง และได้เขียนไว้ว่า “Even the small talk will be big”

เมื่อปีที่แล้ว แอปเปิลได้ใช้เวทีนี้ในการเปิดตัว MacBook Air โดยได้ปล่อย Teaser ออกมาว่า “There’s something in the Air”

ที่มา - MacRumors 1, 2

เกมยอดเยี่ยมแห่งปี 2008 จาก IGN

รางวัลเกมยอดเยี่ยมจากอีกค่าย เอามาให้ดูเปรียบเทียบครับ

  • PC: Sins of a Solar Empire
  • Xbox 360: Fallout 3
  • PS3: Metal Gear Solid 4: Guns of the Patriots
  • Wii: World of Goo
  • PSP: Patapon
  • DS: The World Ends with You
  • Xbox Live: Braid
  • Mobile Game: Spore
  • iPhone Game: Texas Hold ‘Em (2008)

รางวัลรวมต้องรอผลโหวตจากผู้ชมเว็บไซต์ ซึ่งจะประกาศวันที่ 16 มกราคมนี้ ในแต่ละแพลตฟอร์มยังมีรางวัลของเกมแต่ละแนวแยกต่างหากอีกมากมายเช่นกัน

ที่มา - IGN

เกมยอดเยี่ยมแห่งปี 2008 จาก GameSpot

ของปี 2006 และ 2007
  • Game of the Year: Metal Gear Solid 4: Guns of the Patriots
  • PC: Fallout 3
  • Xbox 360: Grand Theft Auto IV
  • PS3: Metal Gear Solid 4: Guns of the Patriots
  • Wii: No More Heroes
  • DS: The World Ends With You
  • PSP: Crisis Core: Final Fantasy VII

รางวัลอื่นๆ

  • Most Surprisingly Good Game: Air Traffic Chaos (DS)
  • Biggest News: อุตสาหกรรมเกมได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ
  • Best Expansion Pack: World of Warcraft: Wrath of the Lich King
  • Best New Character: Bruce “Brucie” Kibbutz จาก GTA IV
  • Most Innovative Game: Patapon (PSP)
  • Most Disappointing Game: Mercenaries 2: World in Flames (Xbox 360)
  • Best Game No One Played: World of Goo (Wii)

นอกจากที่ยกมาบางส่วน ยังมีรางวัลยิบย่อยอีกมาก อ่านได้จากที่มา

ที่มา - GameSpot

วันศุกร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2552

ระวัง! อันล็อค iPhone 3G ด้วย yellowsn0w มีโอกาสไม่สำเร็จสูง

กลุ่ม iPhone Dev-Team นั้นได้ออกเฟิร์มแวร์สำหรับอันล็อค iPhone 3G ซึ่งรู้จักกันในชื่อ yellowsn0w

มาต้อนรับเทศกาลปีใหม่ 2009 โดยเทียบเท่ากับเฟิร์มแวร์ 2.2 จากแอปเปิล

รายละเอียดอ่านได้จาก Dev-Team Blog และดูกรรมวิธีแบบมีภาพประกอบได้จาก CrunchGear

อย่างไรก็ตาม บรรดาเจ้าของ iPhone 3G ที่ทดลองอันล็อคด้วย yellowsn0w จำนวนมากได้รายงานเข้ามาในเว็บไซต์ gadget ต่างๆ ว่าไม่ประสบความสำเร็จ ทาง Gizmodo ได้อ้างตัวเลขจากโพลว่าอัตราส่วนผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จสูงถึง 2:1 และคงต้องรอ yellowsn0w รุ่นที่แก้ปัญหาและเสถียรกว่านี้ (รุ่นปัจจุบันคือ 0.9.1 beta)

ที่มา - Gizmodo, CNET, Engadget

อยากลองวินโดว์ส 7 ก่อนใครต้องไปงานซีอีเอส


:

สัญญาณ การเปิดตัวระบบปฏิบัติการใหม่ในเดือนมกราคมของไมโครซอฟท์ มีความเป็นไปได้มากทีเดียวว่า ยักษ์ซอฟต์แวร์รายนี้อาจใช้งาน “ซีอีเอส” เป็นเวทีแรกในการแกะกล่องโชว์โอเอสน้องใหม่นามว่า “วินโดว์ส7” อย่างเป็นทางการ

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ :

ทั้ง นี้ในงานประชุมนักพัฒนาระดับอาชีพในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์ได้กล่าวถึงแผนการเปิดตัวระบบปฏิบัติการ (โอเอส) เวอร์ชั่นทดสอบในช่วงต้นปี 2552 ซึ่งแม้จะยังไม่มีกำหนดการใดๆที่ชัดเจนออกมา โดยมีเพียงสัญญาณชี้ชัดว่า กรอบเวลาการเปิดตัวโอเอสใหม่น่าจะอยู่ในช่วงเดือน มกราคม และเป็นไปได้มากว่า ไมโครซอฟท์อาจใช้งานคอนซูเมอร์ อิเล็กทรอนิกส์ โชว์ หรือ ซีอีเอส ที่มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-11 มกราคม ในเมืองลาสเวกัส, สหรัฐฯ เป็นงานเปิดตัวซอฟต์แวร์ดังกล่าว

พร้อมกันนี้มี สมาชิกในทีมประชาสัมพันธ์ของบริษัทในอังกฤษ เผยข้อมูลผ่านอีเมลว่า ในงานซีอีเอส ไมโครซอฟท์มีแผนจะเปิดตัวโพรดักส์ครั้งสำคัญ ซึ่งรวมถึงวินโดว์ส 7

นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์เองยังได้แจ้งข้อมูลผ่านเว็บไซต์งานประชุมเครือข่ายนักพัฒนาของ บริษัทว่า ผู้เข้าร่วมงานประชุมบางรายอาจจะได้รับแผ่นดีวีดีวินโดว์ส 7 เวอร์ชั่นทดสอบติดมือกลับบ้านด้วย

อย่างไรก็ตาม ตามกำหนดการอย่างเป็นทางการ ไมโครซอฟท์เตรียมจะเปิดตัวโอเอสใหม่ในช่วงต้นปี 2553 แม้จะมีนักสังเกตการณ์ในอุตสาหกรรมบางรายเชื่อว่า อาจจะขยับเร็วขึ้นเป็นช่วงปลายปี 2552 เนื่องจากลูกค้าไม่ตอบสนองต่อโอเอสวิสต้า โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มองค์กรที่วางแผนจะข้ามไปใช้วินโดว์ส 7 แทนที่วิสต้า

เตรียมเปิดตัว Windows 7 beta 1 อย่างเป็นทางการเร็วๆนี้

image/windows7.jpg

หลัง จากที่ไมโครซอฟท์ได้เริ่มทำการพัฒนาระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ หรือที่รู้จักกันในนาม Windows 7 ก็มีหลายๆฝ่ายต่างเริ่มให้ความสนใจเรื่อยมา ล่าสุดมีรายงานข่าวว่า ไมโครซอฟท์ได้ทำการกำหนดช่วงเวลาในการเปิดตัวระบบปฏิบัติการ Windows 7 เวอร์ชั่นทดลองเวอร์ชั่นแรกแล้ว โดยจะอยู่ในช่วงต้นปี 2009 ที่จะถึงนี้

โดยหลังจากที่ มีข่าวออกมาว่า ไมโครซอฟท์จะทำการเปิดตัวระบบปฏิบัติการ Windows 7 เวอร์ชั่น beta ภายในปี 2009 นี้ ล่าสุดมีรายงานข่าวออกมาอีกว่า ไมโครซอฟท์ได้มีการกำหนดช่วงเวลาในการเปิดตัวระบบปฏิบัติการ Windows 7 เวอร์ชั่นทดลองเวอร์ชั่นแรก หรือ Windows 7 beta 1 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะอยู่ในช่วงเทศกาลช้อปปิ้งต้นปี 2009 ที่จะถึงนี้ นอกจากนี้ ยังมีรายงานข่าวอีกว่า สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการรอจนถึงปีหน้านี้ สามารถหาไฟล์ ISO ที่มีอยู่ใน Torrent มาทำการดาวน์โหลดได้แล้ว ซึ่งขณะนี้ ได้เริ่มมีผู้สนใจทำการดาวน์โหลดและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการทำงานต่างๆ เอาไว้ ยกตัวอย่างเช่น Kingsley-Hughes ได้แสดงความคิดเห็นไว้ว่า ระบบปฏิบัติการ Windows 7 นี้ มีประสิทธิภาพการทำงานที่เสถียรและรวดเร็ว, taskbar ที่มีการปรับปรุงใหม่ ก็มีความน่าสนใจมากขึ้น แถมการแสดงผลความละเอียดสูงๆก็ใช้งานได้ง่ายกว่า Vista หรือ XP แต่มีข้อเสียตรงที่ไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างแอปพลิเคชั่นที่กำลังรัน อยู่กับ shortcut ตรง taskbar ได้

ปีใหม่เปลี่ยนโน้ตบุ๊กใหม่อย่างไรให้คุ้ม

ทุกวันนี้สินค้าเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท ในชีวิตประจำวันและเกือบทุกสาขาอาชีพ ในภาวะที่เรียกว่าเศรษฐกิจขาลง หรือเตรียมเผาจริงในปีนี้ สินค้าไอทียังคงทวีความจำเป็นยิ่งขึ้นเพราะหลายปัจจัยเข้ามากระตุ้นให้มีการ ใช้งานเทคโนโลยี ทั้งการลดค่าใช้จ่าย และการอำนวยความสะดวกในการทำงาน

ผู้จัดการไซเบอร์ ขออนุญาตแนะนำหลักการง่ายๆในการเลือกซื้อโน้ตบุ๊กใหม่ เพื่อการใช้งานเต็มประสิทธิภาพอย่างคุ้มค่าในปีฉลูสุดฉลุย

เน็ตบุ๊ก - โน้ตบุ๊ก อย่างไหนเหมาะ

ก่อนอื่นลองมองถึงความต้องการในการใช้งานก่อนว่าต้องการใช้โน้ตบุ๊ก ที่จะซื้อต้องการใช้งานอะไรบ้าง ถ้าต้องการพกพาสะดวก ใช้งานแค่เล่นอินเทอร์เน็ต พิมพ์งาน แชต ตกแต่งรูปภาพเล็กๆน้อยๆ เน็ตบุ๊กถึงจะเป็นเครื่องที่เหมาะกับการทำงานของคุณ แต่ถ้าต้องการใช้งานประเภทหนัก เช่นการตัดต่อวิดีโอ เล่นเกม ทำงานที่เกี่ยวกับการออกแบบ เน็ตบุ๊กคงไม่สามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้

ดังนั้น สิ่งแรกที่ควรถามตนเองก่อนการตัดสินใจซื้อคือ "จุดประสงค์ในการใช้งาน" เมื่อได้จุดประสงค์ในการใช้งานแล้วค่อยมาตัดสินใจในปัจจัยอื่นๆที่ตามมา ที่สำคัญอย่าลืมว่าเน็ตบุ๊กไม่มีไดรฟ์ดีวีดี ทำให้ผู้ต้องการใช้งานต้องเสียเงินซื้อไดรฟ์ภายนอกมาต่อใช้งานด้วย



ซื้อเน็ตบุ๊กอย่าเกิน 17,000.-

ถ้าจุดประสงค์ตรงกับคำตอบว่า "เน็ตบุ๊ก" สิ่งที่ต้องตัดสินใจต่อมาคือขนาดของเครื่อง โดยในท้องตลาดขณะนี้มีขายอยู่ตั้งแต่ ขนาด 7 นิ้วถึง 12 นิ้ว ซึ่งโดยส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าหน้าจอขนาด 10 นิ้วคือขนาดที่เหมาะที่สุดกับการใช้งานแบบพกพา เพราะความละเอียดหน้าจอขนาด 10 นิ้วจะอยู่ที่ 1024 x 600 พิกเซล ซึ่งเป็นขนาดที่พอจะเปิดใช้งานหน้าเว็บไซต์ได้อย่างไม่ตกหล่น แต่ถ้าใช้งานในขนาดหน้าจอที่เล็กกว่านั้น นอกจากจะต้องเลื่อน ขึ้น-ลง ในการอ่านเว็บแล้ว ยังต้องเลื่อน ซ้าย-ขวา อีกด้วย

เรื่องที่ต้องคิดตามหนีไม่พ้นระยะเวลาแบตเตอรี่ เน็ตบุ๊กทั่วไปในท้องตลาดขณะนี้มีแบตเตอรี่อยู่ 2 ขนาดให้เลือกคือ 3 เซลล์ และ 6 เซลล์ การใช้งานโดยเฉลี่ยจากการทดสอบจะพบว่าแบตเตอรี่ขนาด 3 เซลล์จะใช้งานได้ประมาณ 2 - 3 ชั่วโมงเท่านั้น ในขณะที่แบตเตอรี่ขนาด 6 เซลล์ จะใช้งานได้ 5 - 6 ชั่วโมง ดังนั้นถ้าจำเป็นที่จะต้องใช้งานนอกสถานที่เป็นเวลานาน และการเพิ่มเงินอีกประมาณ 1,500 - 2,000 บาท ไม่น่าจะเป็นภาระมากเกินไป ควรที่จะลงทุนเพิ่มในจุดนี้ด้วย

ต่อมาควรที่จะทดลองใช้คีย์บอร์ดก่อน การตัดสินใจซื้อ เพราะว่านิ้วของแต่ละคนมีขนาดไม่เท่ากัน จากการทดลองใช้ผู้เขียนพบว่าในเครื่องขนาดหน้าจอ 8 - 9 นิ้ว คีย์บอร์ด ของ 'เอเซอร์ เอสปาย วัน' ให้ความรู้สึกสบายที่สุดในการใช้งาน แต่ถ้าเป็นเครื่องขนาดหน้าจอ 10 นิ้ว เน็ตบุ๊กที่มีคีย์บอร์ดใหญ่สุดคือ 'เอชพี มินิ 1000' ส่วนขนาดพอเหมาะๆ จะเป็นของค่ายต้นตำรับเน็ตบุ๊กคือ 'อัสซุส อีอีอี พีซี 1000HD' รองลงมาคือ 'เอ็มเอสไอ วินด์'

ราคาถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการเลือกซื้อสินค้า สำหรับเน็ตบุ๊กผู้เขียนคิดว่าไม่ควรซื้อที่ราคาเกิน 17,000 บาท เพราะในระดับราคาเกินจากนั้น สามารถนำไปซื้อโน้ตบุ๊กที่ใช้งานได้ครบถ้วนมากกว่า โดยจากการสำรวจตลาดจะพบว่าราคาของเน็ตบุ๊กจะแพงขึ้นตามขนาดของฮาร์ดดิสก์ และความเบาของน้ำหนักเครื่อง ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นที่จะเก็บข้อมูลจำนวนมากในเครื่อง การใช้ SSD ขนาด 8 - 16 กิกะไบต์ก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว ส่วนน้ำหนักของหลายๆ ยี่ห้อจะเฉลี่ยอยู่ที่ ประมาณ 1 กิโลกรัมเท่านั้น



ดูโน้ตบุ๊กให้ดูราคา

ถ้าจุดประสงค์ของผู้อ่านตรงกับ "โน้ตบุ๊ก" ค่อยมาคิดต่อว่าจะใช้งานเครื่องในลักษณะไหนบ้าง โดยโน้ตบุ๊กในตลาดขณะนี้จะแบ่งออกเป็น 3 ระดับราคาคือ ประมาณ 17,000 - 25,000 บาท สำหรับโน้ตบุ๊กที่นำมาใช้งานทั่วๆไป ทำงานได้ครบถ้วนรอบด้านแต่ยังไม่เต็มที่ โดยจะเหมาะกับตลาดคอนซูเมอร์มากที่สุด เพราะว่าสามารถใช้งานได้ครบถ้วน ตั้งแต่นักเรียน นักศึกษา ไปจนถึงนักธุรกิจ ถ้ามีจุดประสงค์การใช้งานที่คล้ายๆ เน็ตบุ๊กในข้างต้น แต่ต้องการหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น ไม่คำนึงถึงขนาดและน้ำหนักของตัวเครื่อง คุณจะได้ความเร็วในการใช้งานที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว

ต่อมาคือประมาณ 25,000 - 40,000 บาท สำหรับโน้ตบุ๊กที่มาพร้อมการ์ดจอแยก ทำงานได้ครบครันมากขึ้นตามระดับราคา จะเหมาะกับผู้ที่ต้องการใช้งานเทคโนโลยีอย่างเต็มที่ ถ้าพูดในแง่ดีคือ นักศึกษาที่เรียนวิศวะกรรม ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับการตัดต่อวิดีโอ ใช้งานโปรแกรม 3มิติ อย่าง 3dsmax, Maya และAutoCad แต่อีกแง่หนึ่งก็คือ เป็นโน้ตบุ๊กที่รองรับการเล่นเกมสำหรับวัยรุ่น ที่ต้องการความสะดวกในการใช้งานเช่นเดียวกัน

ท้ายสุดประมาณ 40,000 บาทขึ้นไป สำหรับ โฮมเอนเตอร์เทนเมนต์โน้ตบุ๊ก ที่มาพร้อมกับความสามารถด้านมัลติมีเดียต่างๆอย่างครบครัน จะเป็นโน้ตบุ๊กที่มีความสามารถในการใช้งานแทนพีซีได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยจะมีจุดเด่นเพิ่มขึ้นในด้านของมัลติมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นระบบโฮมเธียเตอร์ที่บางรุ่นมีไดรฟ์บลูเรย์มาให้ใช้แล้ว รวมไปถึงฟีเจอร์ที่หลากหลายตามแต่ละยี่ห้อจะใส่กันมา เช่น วิทยุFM ทีวีจูนเนอร์ ระบบสแกนใบหน้า ฯลฯ ผู้ใช้งานในระดับนี้ส่วนใหญ่จะมีความรู้ในเรื่องเทคโนโลยีพอสมควรแล้ว จึงตัดสินใจซื้อสินค้าที่สามารถตอบสนองความต้องการของตนเองได้ แม้ราคาจะสูงก็ตาม

แต่ ไม่ใช่ว่าโน้ตบุ๊กในแต่ละช่วงราคาจะมีประสิทธิภาพเท่ากันเสมอไป บางยี่ห้อสินค้าอาจจะมีดีไซน์ที่สวยงาม วัสดุที่ใช้มีคุณภาพมากกว่า รวมไปถึงการเพิ่มฟีเจอร์เด่นๆ เครื่องบาง น้ำหนักเบา ปัจจัยต่างๆเหล่านี้ ยังคงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญเช่นเดิม ทำให้การแบ่งช่วงราคาดังกล่าวอาจจะไม่เป็นจริงเสมอไป ดังนั้นการเลือกซื้อโน้ตบุ๊กให้เหมาะสมกับการใช้งานจะเป็นการช่วยประหยัดค่า ใช้จ่ายส่วนเกินที่ไม่จำเป็นได้

เมื่อเลือกได้แล้วว่าต้องการโน้ตบุ๊กในระดับไหน ค่อยมาดูกันถึงสเปกที่จะให้ความคุ้มค่ามากที่สุดในระดับราคานั้นๆ แน่นอนว่าผู้ซื้อส่วนใหญ่ต้องการที่จะได้ของดีราคาถูก โดยส่วนใหญ่จะเทียบกันจาก ความเร็วของซีพียู, ขนาดของแรม, ความจุของฮาร์ดดิสก์ และความสามารถของการ์ดจอในรุ่นที่สูงขึ้นมาหน่อย



ศึกษาสเปกก่อนซื้อ

ในด้านของซีพียูใน ปัจจุบัน จะมีตั้งแต่ Core 2 Duo หรือ Dual Core ไปจนถึง Quad Core กันแล้ว ทำให้ผู้เขียนไม่สามารถ บอกได้ว่า ต้องความเร็วเท่าไหร่ถึงจะดี หรือจะคุ้ม เพราะในส่วนนี้จะขึ้นอยู่กับการใช้งานเป็นสำคัญ ถ้าต้องการใช้งานทั่วๆไป เล่นเน็ต พิมพ์งาน ไม่ได้ประมวลผลหนักมาก แค่ 1.6 - 2.2 GHz ก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าต้องนำมาใช้ในการประมวลผล 3มิติ ตัดต่อภาพยนตร์ หรือ ใช้ในการเล่นเกมด้วย คงต้องมองกันที่มากกว่า 2.2 GHz ขึ้นไปละกันครับ

สำหรับแรม ผู้เขียนคิดว่า ขนาดของแรมที่จำเป็นต้องใช้งานจริงๆคือ 1 กิกะไบต์ สำหรับใช้งานระบบปฏิบัติการวินโดวส์ เอ็กซ์พี ส่วนถ้าเป็นวินโดวส์ วิสต้า ขนาดของแรมควรอยู่ที่ 2 กิกะไบต์ เป็นอย่างน้อย ถ้าต้องการใช้เพื่อเล่นเกมด้วย ควรที่จะเกิน 2 กิกะไบต์ ขึ้นไปสำหรับเกมใหม่ๆในปัจจุบัน ส่วนผู้ที่ไม่ต้องการใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ แรม ขนาด 1 กิกะไบต์ น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับระบบปฏิบัติการอย่างลินุกซ์

ในเรื่องของขนาดฮาร์ดดิสก์ ถ้าจำเป็นที่จะต้องใช้เก็บไฟล์ที่มีขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก อย่างภาพยนตร์ความละเอียดสูง เพลงเอ็มพี3 ฯลฯ ควรที่จะมองหาขนาดความจุ 320 กิกะไบต์ขึ้นไป แต่ถ้าใช้แค่เก็บไฟล์เอกสาร รูปภาพ เล็กๆน้อยๆ ขนาดเพียง 160 กิกะไบต์ ดูจะเกินความต้องการไปด้วยซ้ำ

สำหรับการ์ดจอที่ มีในโน้ตบุ๊ก ถ้าจะนับรุ่นที่มีขายกันอยู่ในท้องตลาดจริงๆ จะมีเพียงไม่กี่รุ่นเท่านั้น ไม่หลากหลายเหมือนในพีซี ทำให้การเลือกดูในจุดนี้ ไม่น่าจะเกินความสามารถ ทั้งนี้ ถ้าไม่ได้ต้องการเล่นเกม หรือ ใช้งานด้าน 3 มิติ การ์ดจอออนบอร์ด ที่มาในเครื่อง ในโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ๆขณะนี้สามารถที่จะใช้งานทั่วๆไปได้อย่างรับชมภาพยนตร์ ได้สบายๆ

สุดท้ายนี้ในการเลือกซื้อโน้ตบุ๊ก ผู้เขียนขอย้ำว่าให้เลือกซื้อตามจุดประสงค์การใช้งานจะดีกว่าตามเทคโนโลยีที่ออกมาใหม่แล้วไม่ได้ใช้ เพราะเทคโนโลยีมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ราคาที่ตัดสินใจซื้อในวันนี้อาจจะคิดว่าคุ้มค่าแล้ว พอขึ้นเดือนใหม่หรือเข้าสู่ไตรมาสถัดไป ราคาที่ว่าคุ้มกลับซื้อเครื่องในอีกระดับได้ ดังนั้นหลังจากที่ซื้อโน้ตบุ๊กสักเครื่องอย่าไปตามราคา ในเดือนถัดๆมาอาจจะทำให้ช้ำใจได้ ท้ายนี้หวังว่าบทความนี้จะให้ประโยชน์แก่ผู้ที่กำลังตัดสินใจในการเลือกซื้อ โน้ตบุ๊กหรือเน็ตบุ๊กไม่มากก็น้อย

ทีมงาน Cyber Biz

9 เทรนด์สินค้าไอทีปี 2009


ผู้จัดงานคอมมาร์ตเผย 9 แนวโน้มโลกไอทีมาแรงปี 2009 ทุกแนวโน้มชี้ว่าสินค้าไอทีต้องถูกและดีเท่านั้นถึงจะอยู่รอด เชื่อสงครามราคาจะเกิดขึ้นเพียงส่วนเดียวแต่จะต้องไปฟาดฟันกันที่คุณภาพว่า ใครคุ้มค่ากว่า ผลที่เกิดขึ้นคือจำนวนสินค้าไอทีที่จำหน่ายในปีฉลูจะไม่ลดลง แต่สัดส่วนกำไรจะตกต่ำแทน มั่นใจแม้เศรษฐกิจทั้งปีจะซบเซาเผาจริงเพียงไร แต่ตราบใดที่ผู้บริโภคยังมีกำลังซื้อและความต้องการ อุตสาหกรรมไอทีก็ยังไม่ถึงขาลง

ประสิทธิ์ วรฉัตราวณิช รองผู้จัดการทั่วไป และผู้อำนวยการฝ่ายนิวมีเดีย บริษัท เอ.อาร์. อินฟอร์เมชัน แอนด์ พับลิเคชัน จำกัด กล่าวว่าทั้ง 9 แนวโน้มนี้เป็นการพิจารณาจากข้อมูลที่มีและสิ่งที่ได้พบในงานแสดงสินค้าไอที หลากหลายงาน ข้อมูลบางส่วนสะท้อนให้เห็นว่าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค (Consumer Electronic : CE) ในปี 2009 กำลังมีพัฒนาการมากขึ้นจนทับซ้อนสินค้าข้ามสายพันธุ์ เชื่อว่าหลายตลาดจะถูกกลืนกินไป

“ตลาด จะเบลอมากขึ้น คอมพิวเตอร์ตัวเล็กอย่างเน็ตบุ๊กจะเริ่มไม่แตกต่างจากโน้ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถือก็จะพัฒนาฟังก์ชันกล้องถ่ายภาพจนทับซ้อนกับกล้องดิจิตอลชนิด คอมแพค และในอนาคต การที่สมาร์ทโฟนจะหันมากินตลาดเน็ตบุ๊กก็อาจเกิดขึ้นได้“

ประสิทธิ์บอกด้วยว่าปี 2008 ที่ผ่านมาเป็นปีที่โปรดักต์ไลน์สินค้าไอทีวิ่งเร็วมาก ความถี่ในการออกสินค้าไอทีทั้งปีค่อนข้างสูง แต่ปี 2009 เชื่อว่าความถี่นี้จะลดลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสหรัฐฯคือแหล่งผลิตเทคโนโลยีสำคัญของโลก หากสหรัฐฯต้องประสบปัญหาเศรษฐกิจจริงอย่างที่คาดการณ์ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ความเร็วในการออกสินค้าไอทีใหม่จะช้าลงทั่วโลก

เน็ตบุ้กจะไล่กินตลาดโน้ตบุ๊ก

“เดสก์ ท็อปถูกโน้ตบุ๊กบี้มาแล้ว กำลังคิดว่าโน้ตบุ๊กจะถูกเน็ตบุ๊กบี้อีก ที่ผ่านมา ผู้บริโภคหลายคนมองไม่ออกว่าเน็ตบุ๊กและโน้ตบุ๊กเป็นคนละชนิดกัน มองแค่ว่าตัวเล็กกว่าและไม่มีไดร์ฟ แต่ปี 2009 เน็ตบุ๊กจะเพิ่มขนาดหน้าจอเป็น 12 นิ้ว เมื่อจอใหญ่ขึ้นคีย์บอร์ดก็ใหญ่ขึ้นตาม และไม่แน่ก็อาจจะเพิ่มไดร์ฟดีวีดีมาให้ สิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้บริโภคยิ่งมองไม่ออกว่าเน็ตบุ๊กต่างจากโน้ตบุ๊กอย่าง ไร โดยผู้ผลิตหลายรายออกมาประกาศแล้วว่า ปี 2009 จะทำตลาดเน็ตบุ๊กเพิ่มขึ้น คิดเป็นสัดส่วน 50%” ประสิทธิ์กล่าว

เน็ตบุ๊ก (Netbook) คือคอมพิวเตอร์พกพารุ่นเล็กราคาประหยัดที่เน้นความสามารถในการเชื่อมต่ออิน เทอร์เน็ตเป็นหลัก ประสิทธิ์เชื่อว่าเน็ตบุ๊กจะน้ำหนักเบาขึ้นแต่สามารถรองรับการเชื่อมต่อได้ ทุกชนิด ราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่หมื่นบาทต้นๆ รุ่นที่ราคาแตะ 20,000 จะลดราคาลง ขณะที่โน้ตบุ๊กจะหนีการรุกรานของเน็ตบุ๊กด้วยการย้ายไปทำตลาดกลุ่มผู้สร้าง คอนเทนท์ เช่นกลุ่มผู้สร้างงานตัดต่อวีดีโอหรือมัลติมีเดีย แม้จะเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มก็ตาม

“โน้ตบุ๊กจะฉีกไปด้วยเทคโนโลยีที่เหนือกว่า เชื่อว่าโน้ตบุ๊กรุ่นเล็กจะไม่ตายเพราะยังต่างเรื่องราคา เช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป ที่ยังไม่ตายแม้จะถูกโน้ตบุ๊กรุกราน”

มือถือใหม่จะเป็นระบบสัมผัสเกือบทั้งหมด

ประสิทธิ์เชื่อว่า โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ในปี 2009 จะเป็นระบบสัมผัสหรือทัชสกรีนเกือบทั้งหมด แต่รุ่นล้ำสมัยอาจจะมาพร้อมฟังก์ชันพิเศษอย่างโปรเจคเตอร์ ฟังก์ชันกล้องถ่ายภาพจะพัฒนาไปเป็น 8 ล้านพิกเซลจนทับซ้อนกล้องดิจิตอลชนิดคอมแพค ดีไซน์ยังเป็น “สี่เหลี่ยม แบน บาง ติดกล้อง หน้าจอเรียบ” เช่นเดิม มือถือจากจีนจะครองใจรากหญ้าต่อไป

“ตอน นี้มือถือมีหมดแล้ว ที่ยังขาดคือโปรเจคเตอร์ ที่งาน CES โชว์เทคโนโลยีนี้มาหลายปีแล้ว อาจจะฝังไปเลยหรือผลิตเป็นอุปกรณ์เสริมจำหน่ายแยกกัน ตอนนี้จีนทำได้แล้ว เป็นทัชสกรีนที่สามารถเล่นเกมขณะฉายหนังผ่านโปรเจคเตอร์ LED ได้พร้อมกัน ขนาดภาพที่ได้จากโปรเจคเตอร์ประมาณ 50 นิ้ว”

ประสิทธิ์มั่นใจว่า แพลตฟอร์มแอนดรอยด์ของกูเกิลจะมาแรงแน่นอนในกลุ่มผู้ไม่ใช่สาวกไอโฟน โดยปีฉลูจะเป็นปีที่ผู้ผลิตคอนเทนท์ผลักดันให้การใช้งานคอนเทนท์นอนวอยซ์ ผ่านโทรศัพท์มือถือมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ยังมีความเป็นไปได้ที่สมาร์ทโฟนจะพัฒนาความสามารถจนทับซ้อนเน็ตบุ๊ก เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มมองว่า โทรศัพท์มือถือไม่ใช่โทรศัพท์ แต่เป็นคอมพิวเตอร์ที่รันโปรแกรมโทรศัพท์

“บริษัท OLO เปิดตัว Docking ที่มีหน้าจอใหญ่และคีย์บอร์ดสำหรับเสียบไอโฟน แนวคิดคือถ้าเสียบไอโฟนเข้ากับจอและคีย์บอร์ดก็สามารถเป็นเน็ตบุ๊กได้เลย หน้าจอของไอโฟนที่เป็นทัชสกรีนก็สามารถใช้เป็นทัชแพดได้ ความทับซ้อนกันแบบนี้เป็นไปได้ที่สมาร์ทโฟนจะมาแข่งกับเน็ตบุ๊กในอนาคต”

วินโดวส์ 7 จะทำให้คนซื้อคอมพ์ใหม่

เป็นที่รู้กันว่าวินโดวส์ 7 ระบบปฏิบัติการรุ่นต่อจากวิสต้าที่เชื่อกันว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการใน ไตรมาส 3 ปี 2009 จะมาพร้อมส่วนติดต่อผู้ใช้แบบใหม่ที่ทำให้ผู้ใช้จำเป็นต้องหาคอมพิวเตอร์ หน้าจอสัมผัสมาไว้ในครอบครอง จุดนี้ประสิทธิ์เชื่อว่าเป็นเพราะการคาดการณ์ของไมโครซอฟท์ ที่เชื่อว่าผู้ใช้วินโดวส์เอ็กซ์พีส่วนใหญ่จะซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ใน ปี 2009

ประสิทธิ์บอกว่าปี 2009 อาจมีแกดเจ็ดเกิดใหม่ในตลาด นั่นคืออุปกรณ์เสริมสำหรับเปลี่ยนหน้าจอธรรมดาให้กลายเป็นหน้าจอสัมผัสที่ สามารถใช้งานเทคโนโลยี Surface ซึ่งไมโครซอฟท์ภูมิใจนำเสนอในวินโดวส์ 7 อุปกรณ์เสริมนี้จะถูกติดตั้งไว้ด้านบนจอภาพ เพื่อทำหน้าที่จับการเคลื่อนไหวของนิ้วมือบริเวณหน้าจอ

สื่อจะพยายามผสมสิ่งพิมพ์กับดิจิตอลเข้าด้วยกัน

ประสิทธิ์ยกคำกล่าวของซีอีโอไมโครซอฟท์ สตีฟ บอลเมอร์ ซึ่งระบุว่านับจากนี้อีก 10 ปี จะไม่มีหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือสิ่งพิมพ์ใดที่ไม่เผยแพร่ข้อมูลผ่านเครือข่าย IP หรือเครือข่ายออนไลน์ จุดนี้จะทำให้สื่อออนไลน์มีบทบาทมากขึ้นขณะเดียวกันก็ทำให้ “E-Ink” หรือหมึกอิเล็กทรอนิกส์มีบทบาทในสิ่งพิมพ์มากขึ้นในปี 2009 จนเกิดเป็นสิ่งพิมพ์ลูกผสมหรือ Hybrid Media ที่เข้าสู่ความเป็นจริงยิ่งขึ้น

ประสิทธิ์อธิบายว่า E-Ink คือจุดพิกเซลที่เปลี่ยนสีได้เมื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าไป สีพิกเซลที่เปลี่ยนสามารถค้างหรือคงสภาพไว้ได้โดยที่ไม่ต้องใช้แบตเตอรี่สูง ประสิทธิ์ยกตัวอย่างนิตยสาร Esquire ซึ่งเริ่มทำนิตยสาร E-Ink ต้นแบบโดยซ่อนแบตเตอรี่ไว้ในปก ในเล่มมีการทดลองทำให้ฉากหลังของโฆษณารถยนต์เปลี่ยนสีได้จนทำให้ดูเหมือนรถ วิ่งอยู่

เช่นเดียวกัน แนวโน้มการโฆษณาก็เริ่มเข้าสู่โลกดิจิตอลยิ่งขึ้น เช่น การพัฒนาซอฟต์แวร์อ่านโฆษณาภาพนิ่งในนิตยสารเป็นภาพสามมิติอาจได้รับความ นิยมมากขึ้น หรือการที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. เริ่มทำประชาสัมพันธ์ผ่านทวิตเตอร์ (Twitter) ไมโครบล็อกที่สามารถอัปเดทรายการของสถานีให้กับสมาชิกผ่านโทรศัพท์มือถือ โปรแกรมแชต หรือทางอินเทอร์เน็ตแล้วในขณะนี้ ย่อมเป็นทิศทางที่ชี้ว่าสื่อดั้งเดิมพยายามปรับตัวให้เข้ากับโลกดิจิตอลยิ่ง ขึ้น

บริษัทไอทีขอกินก่อนแล้วค่อยกรีน

ประสิทธิ์คาดการณ์ว่าแกดเจ็ดสีเขียวหรือสินค้าไอทีเพื่อสิ่งแวดล้อม จะเพิ่มขึ้นในปี 2009 แต่จะไม่แรงสุดขีด กรีนแกดเจ็ดที่จะมาแน่นอนในปีนี้คืออีบุ๊ก (E-book) หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่โลกจะไม่ต้องสิ้นเปลืองต้นไม้เพื่อทำกระดาษอีกต่อ ไป แต่ในแง่การผลิตสินค้าไอทีเพื่อสิ่งแวดล้อมเช่นโน้ตบุ๊กกรีนจะยังไม่ชัดเจน เพราะวิธีกรีนสินค้าไอทีที่ง่ายที่สุดคือการลดชิ้นส่วน ซึ่งอาจกระทบความมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพสินค้าเพื่อจำหน่ายของผู้ผลิต

“คนไอทีเห็นอีบุ๊กมากกว่า 10 ปีแล้ว ปีหน้าวัสดุที่จะเป็นส่วนประกอบในอีบุ๊กจะบิดได้ เหมือนกระดาษมากขึ้น อ่านชัดขึ้น กินไฟน้อยลง หน่วยความจำเพิ่มขึ้นและออนไลน์ได้ครอบคลุมทุกการเชื่อมต่อ นักอ่านต่างประเทศนิยมมากเพราะไม่ต้องหอบหิ้วหนังสือแสนหนักติดตัวตลอดเวลา ยอมรับว่าอีบุ๊กอาจยังไม่เข้ามาในบ้านเราแต่แนวโน้มปี 2009 คือราคาเครื่องจะถูกลงแน่นอน”

พีซีไร้สมองจะมาแรง

ประสิทธิ์กล่าวว่าในงาน Virtual Machine World 2008 ได้มีการแสดงอุปกรณ์จำลองเครื่องลูกข่ายใหม่ล่าสุด เป็นอุปกรณ์ที่ไม่มีซีพียูแต่สามารถต่อเข้ากับหน้าจอและคีย์บอร์ดเพื่อทำงาน เป็นเหมือนคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปเครื่องหนึ่งได้ จุดนี้ประสิทธิ์เชื่อว่า ปี 2009 จะเป็นปีที่พีซีไร้สมองมาแรง และความนิยมในการทำเวอร์ชวลไลเซชันหรือการทำงานแบบเสมือนก็ยิ่งทำให้เดสก์ ท็อปไร้ความหมายยิ่งขึ้น

“เมื่อ ก่อนเราพูดถึง Thin Client หรือพีซีฉลาดน้อย แต่นี่คือ Zero Client ซึ่งไม่มีสมองเลย มีลักษณะเป็นกล่องเล็กๆที่มีพอร์ตเชื่อมต่อที่สามารถรับสัญญาณจาก เซิร์ฟเวอร์ หนึ่งเซิร์ฟเวอร์สามารถเชื่อมต่อ Zero Client ได้ 35-40 เครื่อง การเก็บหรือเรียกข้อมูลก็ดึงจากเซิร์ฟเวอร์ ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรม หากในเครือข่ายหนึ่งต้องใช้ลูกข่าย 30 เครื่อง ก็ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรม 30 ครั้ง ลดความซ้ำซ้อนได้ ลดค่าใช้จ่ายบำรุงรักษาได้เพราะดูแลจากส่วนกลาง เกิดประโยชน์มากแต่ใช้เงินน้อย”

ประสิทธิ์เชื่อว่าแม้ระบบทำงานเสมือนเช่นนี้จะทำให้เดสก์ท็อปพีซี หรือพีซีตั้งโต้ะไร้ความหมายลงไป แต่เชื่อว่าตลาดเดสก์ท็อปจะไม่หายไปง่ายๆ โดยเฉพาะในกลุ่มสถาบันการศึกษา ที่ยังคงต้องใช้งานเดสก์ท็อปต่อไป

วัฒนธรรมถ่ายคลิปและเครือข่ายสังคมสร้างแกดเจ็ตใหม่

เครือข่ายสังคมจะไม่ถูกมองว่าสร้างรายได้ในแง่โฆษณาอีกต่อไป ปี 2009 ประสิทธิ์เชื่อว่าตลาดแกดเจ็ดเพื่อใช้งานบนเครือข่ายสังคม เช่น ไฮไฟว์ จะเกิดขึ้น เช่นเดียวกับวัฒนธรรมถ่ายคลิป ก็อาจเกิดเป็นบริการด้านการถ่ายคลิปวีดีโอเพิ่มขึ้น

“นอก จากเครือข่ายสังคมจะขายโฆษณาได้ เชื่อว่าจากนี้จะขาย Accessory ได้ด้วย ตอนนี้มีการจำหน่ายเสื้อยืดที่พิมพ์สัญลักษณ์หนึ่งไว้ หากเอากล้องดิจิตอลไปถ่ายภาพสัญลักษณ์นั้นด้วย Accessory นี้ ก็จะปรากฏเป็น Profile ที่สามารถเอาไปแอดในไฮไฟว์ได้ทันที บริการด้านถ่ายวีดีโอคลิปก็เริ่มมีมากขึ้น เช่นมีเว็บไซต์หนึ่งที่ให้บริการถ่ายคลิปวีดีโอด้วยโน้ตบุ๊กนาน 12 วินาที นั่นคือ 12seconds.tv

ถึงยุคเทราไบต์

ประสิทธิ์เชื่อว่าปี 2009 คือปีที่ชาวไอทีจะได้สัมผัสกับความจุข้อมูลมหาศาลหน่วยเทราไบต์หรือประมาณหนึ่งพันกิกะไบต์

“กิ๊กเราพูดกันมาเยอะแล้ว เชื่อว่าคราวนี้จะถึงยุคเทราไบต์ ปีนี้เราอาจได้ใช้โน้ตบุ๊กที่มีพื้นที่จุข้อมูลเป็นเทราไบต์ก็ได้”

อีคอมเมิร์ชจะถูกพูดถึงอีกรอบ

ประสิทธิ์เชื่อว่า กระแสความนิยมคลิปวีดีโอ ความแพร่หลายของกล้องถ่ายรูปดิจิตอล รวมถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยล้วนมีส่วนเสริมให้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ถูกหยิบยก มาตั้งความหวังกันอีกครั้ง หลังจากที่เคยถูกตั้งความหวังกันมานับครั้งไม่ถ้วน

“ปี 2009 อาจจะมีการพูดถึงกระแสอีคอมเมิร์ชขึ้นมาอีก เศรษฐกิจไม่ดีเมื่อไหร่คนก็พูดถึงอีคอมเมิร์ช ตอนนี้มีคลิป มีกล้อง พวกนี้ส่งเสริมได้ และความเทคโนโลยีเหล่านี้ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ชบ้านเราก็ยังใช้ไม่คุ้ม ยังใช้แค่ขายในไทยไม่ได้ขายต่างชาติ ถ้าเปิดตลาดต่างชาติก็จะยิ่งเติบโตมากกว่านี้”

Company Relate Link :
AR

ซานติก้า แฉไฟลุกจากไฟเย็นบนเวที




วันนี้ (1 ม.ค.) เมื่อเวลา 05.30 น. พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เดินทางมาที่ซานติก้า ผับ พร้อมตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ โดยหลังจากเดินดูจุดต่างๆ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า เบื้องต้นตรวจสอบพบว่ามีผู้เสียชีวิต 58 คน และบาดเจ็บรักษาตัวอยู่ตามโรงพยาบาลต่างๆกว่า 200 คน โดยได้มีการตั้งศูนย์ช่วยเหลือและรับแจ้งความที่ สน.ทองหล่อ โดยจะทำการตรวจสอบผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด รวมถึงผู้ที่อยู่บนเวทีทั้งนักดนตรี นักร้อง มือกลอง ซึ่งมีคนให้การว่า ผู้ที่อยู่บนเวทีเป็นผู้จุดพลุไฟทำให้เกิดไฟไหม้ แต่อย่างไรก็ตามต้องตรวจสอบให้แน่ชัดอีกครั้งว่าเกิดจากสาเหตุใดแน่ และเกิดจากความประมาทหรือไม่ ซึ่งผู้เสียชีวิตขณะนี้ศพอยู่ที่หน่วยนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจและนิติเวชโรง พยาบาลจุฬาลงกรณ์

ต่อมาเวลา 07.30 น. พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. พร้อมเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักวิทยาการตำรวจ (สนว.ตร.) เดินทางมาตรวจสอบร่วมกับ ที่แซนติก้า ผับ

พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ต้องให้ทาง พฐ.ทำการตรวจสอบอย่างละเอียด โดยเหตุไฟไหม้เกิดขึ้นประมาณเวลา 00.30 น. ซึ่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 59 คน บาดเจ็บสาหัสตามโรงพยาบาลต่างๆ 54 คน และบาดเจ็บเล็กน้อยตามโรงพยาบาลอีกว่า 200 คน

ผู้สื่อข่าวถามว่า น่าจะเป็นการลอบวางเพลิงหรือไม่ เพราะมีข่าวว่าจะมีการเปลี่ยนเจ้าของในวันขึ้นปีใหม่ พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า เรื่องนี้คงไม่มีใครคิดจะทำขนาดนั้น เพราะมีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่เร่งทำการตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์ในศพที่ยัง ไม่ทราบชื่อ ส่วนจะมีชาวต่างชาติหรือไม่ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบ ส่วนเรื่องตำรวจต้องเข้าไปจัดการดูแลเรื่องสถานบันเทิง สถานประกอบการ ที่ไม่ได้มาตรฐานในการรักษาความปลอดภัยหรือไม่ ตำรวจมีหน้าที่เพียงดูเรื่องใบอนุญาตเท่านั้น ส่วนเรื่องตัวอาคารเป็นหน้าที่ของ กทม.

ด้าน พล.ต.อ.จงรัก กล่าวว่า เรื่องนี้ถือเป็นอุทาหรณ์ที่สถานบันเทิงมักจะใช้วัสดุเก็บเสียง ซึ่งส่วนใหญ่วัสดุที่ใช้จะติดไฟง่าย ทางออก ทางหนีไฟต่างๆ ซึ่งขณะนี้ผู้ที่ตามหาญาติให้นำตำหนิ รูปพรรณ ข้อมูลของผู้สูญหายหรือผู้ที่มาเที่ยวเข้าติดต่อกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทองหล่อ เพราะบางคนไม่มีหลักฐานติดตัวจึงไม่ทราบว่าเป็นใคร ให้นำหลักฐานมาเพื่อแจ้งความและทำการตรวจสอบกับทางโรงพยาบาลต่างๆ ส่วนสาเหตุต้องให้ทาง พฐ.ตรวจสอบอย่างละเอียด คาดว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์จึงสรุปผลได้

ต่อมาเวลา 08.20 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เดินทางมาที่แซนติก้า ผับ โดยตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ พร้อมสอบถามรายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ พล.ต.อ.พัชรวาท ก่อนที่จะเดินไปขอบคุณพนักงานดับเพลิงที่มาร่วมระงับเหตุ

นายอภิสิทธิ์ เผยก่อนเดินทางกลับว่า ทราบว่ามีผู้เสียชีวิต 59 คน และรักษาตัวตามโรงพยาบาลต่างๆ จำนวน 14 โรงพยาบาล และให้ทาง กทม.เข้าช่วยเหลือดูแลแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ด้านหน้าของแซนติก้า ผับ ยังคงมีรถของผู้ที่มาใช้บริการจอดอยู่ที่ลานจอดรถกว่า 20 คัน ส่วนอาคารเสียหายทั้งหมด เหลือเพียงโครงสร้างเท่านั้น แต่ก็มีรอยร้าวแตกตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยมีประชาชนมาสังเกตการณ์และญาติของผู้ที่คาดว่ามาเที่ยวและติดต่อไม่ได้ ต่างมาตรวจสอบที่แซนติก้า ผับและมาดูรายชื่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ที่สน.ทองหล่อ ตลอดเวลา

ด้าน พ.ต.อ.นิธิ บรรฑุวงศ์ ผกก.กองพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลและการส่งกลับ สำนักนิติวิทยาศาสตร์ตำรวจ ซึ่งมาตั้งศูนย์ตรวจพิสูจน์ที่ สน.ทองหล่อ กล่าวว่า ได้รับมอบหมายให้มาตรวจพิสูจน์ผู้เสียชีวิตที่พบ โดยจะมีการดูรายละเอียดเบื้องต้น 3 อย่างคือ ดีเอ็นเอ ลายนิ้วมือ และข้อมูลทางทันตกรรม นอกจากนี้ยังดูรายละเอียด รูปพรรณ เช่น รอยสัก บาดแผลต่างๆ รวมถึงเครื่องประดับที่ใส่ ซึ่งศพที่ต้องทำการพิสูจน์เนื่องจากไม่มีหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็น ใคร โดยจะทำงานร่วมกับพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ โดยใช้ระบบข้อมูลในการตรวจพิสูจน์ โดยเบื้องต้นที่พบศพ อยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เป็นชายทราบชื่อ 14 คน ไม่ทราบชื่อ 1 คน หญิงทราบชื่อ 6 คน ไม่ทราบชื่อ 9 คน และโรงพยาบาลตำรวจ เป็นชายทราบชื่อ 6 คน ไม่ทราบชื่อ 6 คน หญิงทราบชื่อ 4 คน ไม่ทราบชื่อ 11 คน ซึ่งตัวเลขอาจมีการเปลี่ยนแปลง เพราะมีผู้บาดเจ็บรักษาตัวตามโรงพยาบาลต่างๆจำนวนมาก

ส่วน พล.ต.ท.ดนัยธร วงศ์ไทย ผบช.สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า ตอนนี้ทางเราได้ส่งศพทั้งหมดไปที่สถาบันนิติเวชหมดแล้ว เพื่อทำการผ่าพิสูจน์หาสาเหตุการเสียชีวิต และขณะนี้ทางเราได้ตั้งศูนย์ตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล ที่สน.ทองหล่อ และที่ขณะนี้ทางเราทางเรายังไม่รู้ชื่ออีกจำนวน 28 ศพ ซึ่งมีทั้งผู้เสียชีวิตที่เป็นชาวต่างชาติและคนไทย ส่วนสาเหตุทางเรายังไม่สามารถที่จะบอกไดว่าสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้ครั้งนี้ เกิดจากสาเหตุใด ต้องรอผลจากทางนิติวิทยาศาสตร์ก่อน และทางเราจะทำอย่างเร็วที่สุด ส่วนการเก็บวัตถุพยาน ที่อยู่ภายในที่เกิดเหตุทางเราได้ทำการเก็บไว้ทั้งหมดแล้ว และกำลังทำการตรวจสอบอยู่ ญาติพี่น้องท่านใดต้องการมาทำการตรวจสอบว่าเป็นญาติของตนหรือไม่ ให้มาตรวจสอบที่สน.จะต้องนำสำเนาเอกสารบัตรประชาชนขอผู้ที่สูญหาย และข้อมูลของผู้เสียชีวิตมาด้วย เพื่อที่จะได้ยืนยันที่สน.ทองหล่อ ทางเจ้าหน้าที่ได้นำรายชื่อ ของผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตรวมถึง รถยนต์ที่อยู่ในที่เกิดเหตุมาติดประกาศ อยู่ที่บริเวณหน้าสน.ทองหล่อ เพื่อให้ญาติ ได้มาทำการตรวจสอบสำหรับผู้ที่พักรักษาตัวอยู่ตามรพ.ต่างๆ เช่น รพ.พระราม 9 รพ.จุฬา รพ.ตำรวจ รพ.สมิตเวช 1-2 รพ.กล้วยน้ำไทย 2 รพ.คามิเลียน รพ.รามคำแหง รพ.กรุงเทพ รพ.วิภาวดี –รามคำแหง รพ.ราชวิถี รพ.เพชรเวช รพ.แพทย์ปัญญา รพ.ปิยะเวช และอื่น

20 อันดับเว็บไซต์ Social Network ปลายปี 2008

บริษัท ComScore ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจสถิติต่างๆ เกี่ยวกับเว็บ ได้เผยแพร่รายชื่อเว็บไซต์ตระกูล social network (แต่รวมถึงเว็บบล็อกและบริการอื่นที่มีฟีเจอร์ด้าน social ด้วย) เรียงตามจำนวนผู้เข้าชม (นับผู้เข้าชมจากทั่วโลก) ประจำเดือนพฤศจิกายน 2008

20 อันดับ (พร้อมจำนวนผู้ชม) มีดังนี้

  1. Blogger (222 million)
  2. Facebook (200 million)
  3. MySpace (126 million)
  4. Wordpress.com (114 million)
  5. Windows Live Spaces (87 million)
  6. Yahoo Geocities (69 million)
  7. Flickr (64 million)
  8. hi5 (58 million)
  9. Orkut (46 million)
  10. Six Apart (46 million)
  11. Baidu Space (40 million)
  12. Friendster (31 million)
  13. 56.com (29 million)
  14. Webs.com (24 million)
  15. Bebo (24 million)
  16. Scribd (23 million)
  17. Lycos Tripod (23 million)
  18. Tagged (22 million)
  19. imeem (22 million)
  20. Netlog (21 million)

ในเว็บที่มายังแสดงกราฟการเติบโตของเว็บไซต์ 5 อันดับแรกระหว่างปี 2007-2008 จะเห็นว่าสถิติช่วงปี 2007 Blogger นั้นทิ้งอันดับสองค่อนข้างขาด แต่ Facebook โตเร็วมากในครึ่งหลังของปี 2008 เว็บที่เหลือคือ MySpace กับ Wordpress นั้นโตขึ้นอย่างช้าๆ แต่ว่า Windows Live Spaces กลับมีผู้เข้าชมลดลง 22%

ที่มา - TechCrunch

10 เหตุการณ์สำคัญของโลกไอทีในปี 2008


10 เหตุการณ์สำคัญของโลกไอทีในปี 2008TechMeme เป็นเว็บรวมข่าวไอทีจากเว็บไซต์อื่นๆ แล้วคัดเลือกด้วยอัลกอริทึมของตัวเอง (เท่าที่ผมทราบจะใช้น้ำหนักของเว็บไซต์ต้นฉบับ + ความเร็วในการเสนอข่าว + เว็บอื่นๆ ที่ลิงก์มา แต่ก็มีปัจจัยอื่นๆ ด้วย)

10 อันดับนี้มาจากสถิติของ TechMeme โดยตรง ต่างจากอันดับของเว็บอื่นๆ ที่ใช้ความคิดเห็นของผู้เขียนข่าวหรือบรรณาธิการเป็นหลัก

ข่าวอันไหนเคยลง Blognone ผมจะใส่ลิงก์ไว้ให้ด้วยเผื่อจะมีใครสนใจย้อนไปอ่าน

  1. ไมโครซอฟท์เสนอซื้อยาฮู 31 พันล้านดอลลาร์

  2. แอปเปิลเลิกเข้าร่วมงาน MacWorld

  3. Chrome เว็บเบราว์เซอร์จากกูเกิล

  4. แอปเปิลเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของนักพัฒนาใน iPhone SDK (ข่าวใกล้เคียง)

  5. กูเกิลร่วมกับไอโฟน ให้บริการค้นหาด้วยเสียง

  6. ข่าวลือว่ากูเกิลจะซื้อ Valve

  7. RIAA เลิกนโยบายฟ้องผู้ดาวน์โหลดเพลงผิดกฎหมาย

  8. กูเกิลจะเข้าซื้อ Digg (ภายหลังถอนตัว)

  9. เปิดเผยชื่อ Windows 7

  10. iPhone 3G

ที่มา - Techmeme

เปิดจำหน่าย iPhone รุ่นปลดล็อคในฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการแล้ว

image/iphone_3g.jpg

ข่าวดี สำหรับผู้ที่สนใจใช้ iPhone 3G ที่ไม่ต้องการติดสัญญาใช้บริการกับทางเครือข่ายตัวแทนของ Apple เพราะล่าสุดทางตัวแทนผู้จัดจำหน่ายได้มีการเปิดให้จำหน่าย iPhone 3G รุ่นปลดล็อคในประเทศฝรั่งเศสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดยผู้ใช้ที่ อยู่ในประเทศฝรั่งเศส สามารถทำการสั่งซื้อ iPhone 3G โดยไม่ต้องทำสัญญาใช้บริการกับทางเครือข่าย Orange ได้แล้ว ซึ่งจะมีราคาตกอยู่ที่เครื่องละ 799ยูโร หรือประมาณ 1,123ดอลล่าร์สหรัฐฯ สำหรับรุ่นสีดำความจุ 8 กิ๊กกะไบท์ และ 899ยูโร หรือ 1,263ดอลล่าร์สหรัฐฯ สำหรับรุ่นสีดำและสีขาว ความจุ 16 กิ๊กกะไบท์ โดยในรุ่นนี้ จะมีราคาที่ค่อนข้างสูงกว่าในรุ่นที่ต้องติดสัญญาใช้บริการกับทางเครือข่าย Orange อยู่มาก ซึ่งจากเดิมที่มีราคาตกเพียงเครื่องละ 149ยูโร สำหรับรุ่นความจุ 8 กิ๊กกะไบท์ และมีราคามากกว่าในรุ่นปลดล็อคที่วางจำหน่ายในเบลเยี่ยม ซึ่งมีราคาอยู่ที่ 529 และ 619ยูโร สำหรับรุ่นความจุ 8 และ 16 กิ๊กกะไบท์ตามลำดับ โดยผู้ที่สนใจสามารถสั่งซื้อได้ผ่านทางเวบไซต์ของ FNAC

ย้อนอดีตอันแสนหวาน กับวันวานของ MBP

ย้อนอดีตอันแสนหวาน กับวันวานของ MacBookPro




ย้อนรอยสินค้า Apple จากอดีตสู่ปัจจุบัน

หลังจาก Apple ทำการเปิดตัว New MacBook Pro สไตล์แพนด้ากันมาสักพัก ล่าสุดก็มีข่าวลือว่าจะทำการเปิดตัว iMac สเป็คใหม่ไฉไลกว่าเดิม นอกจากนี้ยังมี Mac mini ที่มีข่าวลือว่าใกล้จะสูญพันธ์เต็มที ก็มีข่าวว่าจะเปิดตัวรุ่นใหม่ออก มาด้วย รวมถึง iPhone Nano ที่มีภาพหลุดออกมาให้เห็นกันบ้างแล้ว แต่ทั้งนี้ท้ายที่สุดก็ต้องรอว่า งาน MacWorld ที่ใกล้จะถึงนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ แต่เท่าที่ทราบงานนี้คงจะไม่มี Steve Jobs แล้ว ทีมงาน Macdd เชื่อว่า Apple คงจะเริ่มเข้าสู่ภาวะการถ่ายเลือดใหม่อยู่แน่นอน ซึ่งเราก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า อนาคตของ Apple จะเป็นอย่างไร หากไร้เงาพ่อมดเฒ่าอย่าง Steve Jobs (ล่าสุดเมื่อมีข่าวนี้ออกมาปรากฏว่าหุ้นของ Apple ตกลงอีกแล้ว)





และก่อนจะไปติดตามข่าวคราวกันในปีหน้าว่า งาน Macworld จะมีอะไรเซอร์ไพรซ์หรือเปล่า วันนี้เราก็เลยรวบรวมเรื่องราวของ Macbook Pro แลปท็อปในฝันของใครหลายๆคนว่ามีความเป็นมาอย่างไร และมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นบ้าง

สุดท้ายนี้ทีมงาน Macdd ก็ขออวยพรให้ทุกท่านมีความสุข ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ฝ่าวิกฤตที่กำลังจะเกิดขึ้นปีหน้า ด้วยการเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส และก้าวไปอย่างมั่นคง และทางทีมงานก็ต้องขอขอบพระคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุน Macdd.com มาโดยตลอด สวัสดีปีใหม่ครับ



เริ่มต้นกับต้นตระกูลโน้ตบุ๊ค กับ Macintosh Portable
หลังจากที่ Apple ประสบความสำเร็จพอสมควรในการผลิตคอมพิวเตอร์ จนมาถึงในเดือนพฤศจิกายน 1989 Apple ก็ได้ถือกำเนิด คอมพิวเตอร์ที่เรียกว่าเป็นต้นตระกูลของ MacBook นั้นก็คือ Macintosh Portable โดยรูปร่างหน้าตานั้นพูดได้ว่าเหมือน เครื่องพิมพ์ดีด แต่มีหน้าจอนั่นเอง ซึ่งมีจอขนาด 9.8” ราคาขายนั้นตอนนั้นคือ 6,500 เหรียญ ถ้าเทียบกันเงินไทยในช่วงที่เกือบ 2 แสน จึงบอกได้คำเดียวว่าต้องเป็นลูกเศรษฐี เท่านั้นถึงสามารถแตะต้องได้ โดย Macintosh Portable ทำตลาดนานอยู่ถึง 3 ปี






เข้ายุคคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค กับ PowerBook
หลังจากได้เริ่มยุคเข้าสู่ยุคคอมพิวเตอร์ แบบ โน้ตบุ๊ค จากการเริ่มต้น ของ Macintosh Portable เป็นเวลามากว่า 3 ปี และเข้าสู่เดือนตุลาคมปี 1991 ทาง Apple ก็ได้ทำการเปลี่ยนดีไซน์และรูปโฉมของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า โน็ตบุ๊ค ให้มีดีไซน์ โฉบเฉี่ยวพกพาได้สะดวก นำ้หนักเบา (ในเวลานั้น) ออกมาซึ่งใช้ชื่อว่า Macintosh PowerBook โดยมีแป้นพิมพ์และจอที่สามารถพับลงมาได้ ซึ่งใช้ร่วมกับชิปประมวลผลของ Motorora ซึ่งในรุ่นแรกที่ออกมานั้นมีราคาขายถึง $2,500 (62,500 บาท เมื่อเทียบกับเงินไทยในเวลานั้น) ซึ่งต่อมาทาง Apple ก็ได้มีการอัพสเปคให้เร็วขึ้นอยู่และปรับแต่งรูปทรงให้มีความทันสมัยอยู่ เรื่อยๆ จนมาถึงเดือนสิงหาคม ปี 1995 ถือได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งของทาง Apple เลยทีเดียว ซึ่ง
คอมพิวเตอร์ของ Apple ในช่วงเวลานั้นได้เปลี่ยนมาใช้ชิปที่เรียกว่า PowerPc ซึ่งเป็นการพัฒนารวมกันกับค่ายคอมยักษ์ใหญ่ IBM นั้นเอง ซึ่งเช่นเดียวกับ Macintosh PowerBook ก็เปลี่ยนมาใช้ชิปเป็น PowerPC เหมือนกัน โดยได้ว่างจำหน่ายถึงเดือน ตุลาคม ปี 1996 จากนั้น ก็เข้าสู่ตำนานบทใหม่ของ ชิป PowerPC G3






ตำนานบทใหม่กับชิป PowerPc G3
หลังจากที่เปลี่ยนมาใช้ ชิป PowerPc G3 คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คก็ของ Apple ก็ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยในเดือนพฤศจิกายน ปี 1997 ก็ได้มีการเปลี่ยนโฉมและปรับสเปคของ Macintosh PowerBook ใหม่อีกครั้ง ซึ่งเป็นการเข้าสู่ยุคของชิป PowerPc อย่างเต็มตัว และทำให้เครื่อง PowerBook เป็นที่รู้จักแนะนิยมสำหรับการใช้งานในด้านกราฟิคมากขึ้น ถึงแม้ว่าสเปคเครื่องในช่วงนั้น จะไม่เเรงทำกับในยุคนี้ก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นเครื่องที่แรงและเร็วมากแล้วในช่วงนั้น ซึ่งในรุ่นแรกที่ออกมานั้นมีสปีดของ CPU อยู่ที่ 250 MHz และ Ram อยู่ที่ 32 MB และต่อมาในเดือนพฤษภาคม ปี 1998 ก็ได้มีการปรับสเปคของเครื่อง PowerBook G3 อีกครั้ง นี้ก็ถือว่าเป็นคอมพิวเตอร์ด้านงานกราฟิคอย่างเต็มตัว โดยครั้งนี้ใช้ชื่อว่า “ PowerBook G3 Series “ ซึ่งจะมีสปีดของ CPU ในความเร็วที่ต่างกันให้เลือก และยังเพิ่มการ์ดจอ เพื่อให้จอภาพแสดงผลได้ดีขึ้นลงไปอีกด้วย โดยการ์ดจอที่นำมาใช้นั้นเป็นของ ATI Rage LT และด้วยรูปทรงที่โฉบเฉียวทำให้เครื่องได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งราคาก็เริ่มต้นที่ี $2,299 - $7,000 (57,475-175,000 บาท) โดยในรุ่นสูงสุดนั้น มีความเร็วของ CPU อยู่ที่ 292 MHZ

อีกหนึ่งปีต่อมาคือเดือนพฤษภาคมปี 1999 Apple ก็ได้ทำการออก PowerBook G3 Bronze Keyboard ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีคีย์บอร์ดสีทองเรียกว่าใครใช้เครื่องรุ่นนี้จะดูมี ความหรู่หรามากทีเดียว ซึ่งในรุ่นนี้ได้ทำออกมา สองรุ่นด้วยกันคือ ความเร็ว CPU 333 MHz ราคา $2,499 (62,475 บาท ในเวลานั้น) กับรุ่น $3,499 (87,475 บาท ในเวลานั้น)

ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2000 ถือเป็นการปฏิวัติอีกครั้งของคอมพิวเตอร์ Apple โดยทาง Apple ได้ใส่ AirProt Card ลงไปในเครื่อง PowerBook ซึ่งทำให้เครื่องสามารถเล่นอินเทอร์เน็ตแบบไร้สายได้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นรุ่นสุดท้ายที่ PowerBook ใช้ชิป PowerPC G3






ชิป PowerPC G4 กับคอมพิวเตอร์ด้านกราฟิก
จากที่ Apple ได้ใช้ชิป ที่เรียกว่า PowerPC G3 มาได้ระยะหนึ่ง ก็ได้มีการอัพเกรดเปลี่ยนแปลงมาเป็น PowerPC G4 และในเดือนมกราคม ปี 2001 ก็ได้นำชิปใหม่ตัวนี้มาใช้ใน PowerBook แล้วก็ทำการรีดีไซน์เปลี่ยนรูปทรงใหม่ PowerBook ซึ่งตัว PowerBook G4 นี้ได้เปลี่ยนวัสดุที่ใช้ทำมาเป็น Titanium ที่มีความทนทานและเเข็งแรง โดยตัวเครื่องจะมีสีเงินวาว คีย์บอร์ดมีสีดำ เรียกว่าเป็นเอกลักษณ์ของรุ่นนี้เลยก็ว่าได้ ด้านสเปคเครื่องก็ได้ ก็มีการใช้ CPU ที่เร็วขึ้น Ram ที่มากขึ้น มาพร้อมจอขนาด 15 นิ้ว แบบ TFT แต่ราคาที่เท่าเดิม ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้มีการอัพเกรดสเปคอยู่เรื่อยๆ จนมาถึง เดือน พฤศจิกายน ปี 2002 ก็ถือเป็นการอัพสเปคถึงขีดสุดของ PowerBook G4 Titanium โดยอัพเกรด CPU ถึง 1 GHz ด้วยกัน ซึ่งราคาขายก็อยู่ที่ $2,999

หลังจาดที่ได้อัพเกรด PowerBook G4 Titanium จนถึงขีดสุดแล้ว ในเดือนมกราคม ปี 2003 ทาง Apple ก็ได้ทำการรีดีไซน์ใหม่อีกครั้ง โดยครั้งนี้ได้เปลี่ยนวัสดุที่ใช้ทำเครื่องจาก Titanium มาเป็น Aluminum โดยออกมาด้วยกันสองรุ่นคือรุ่นจอ 12 นิ้ว และรุ่นจอ 17 นิ้ว แถมด้วยการเปลี่ยนการ์ดจอมาใช้เป็นของ NVIDIA ที่ให้ความสเถียรมากขึ้น และ PowerBook G4 Aluminum ถือได้ว่าเป็นยุคทองของ PowerBook เลยก็ว่าได้ จากสเปคเครื่องที่แรง การ์ดจอแยก แสดงผลได้อย่างเที่ยงตรง ทำให้ PowerBook G4 Aluminum ตอบโจทย์การทำงานด้านกราฟิคเป็นอย่างยิ่ง และก็ได้มีการอัพเกรดสเปคเครื่องมาเรื่อยๆ แต่ยังคงรูปทรงเครื่องที่เหมือนเดิมเอาไว้ จนมาถึงยุคชิป PowerPC G5 ก็ทำให้เครื่อง PowerBook ตอบโจทย์งานด้านกราฟิกเข้าไปอีก








MacBook Pro นิยามใหม่กับชิป intel
เดือน มกราคม ปี 2006 ถือเป็นการเปลี่ยนแปลง ครั้งสำคัญในวงการคอมพิวเตอร์ ของ Apple เมื่อ Steve Jobs ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญโดยได้เปลี่ยนจาก ชิป CPU PowerPC มาเป็น ชิป CPU ของ Intel ซึ่งการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ทำให้เครื่อง Mac ได้รับความนิยมในเมืองไทยมากขึ้นด้วยนั้นเอง

โดย PowerBook ก็ได้เปลี่ยนชื่อใหม่มาเป็น MacBook Pro ซึ่งรุ่นแรกนั้นใช้ชิป ใช่ชิป intel Core Duo มีความเร็ว CPU เริ่มต้นที่ 1.83 GHz ไปถึง 2.16 GHz ใช้จอ 15 นิ้ว โดยราคาเริ่มต้นที่ $1,999 ไปจนถึง $2,499 และในเดือนเมษายน 2006 Apple ออก MacBook Pro จอ 17 นิ้ว ในราคา $2,790 และได้มีการอัพสเปคมาเรื่อยๆ ตามชิปของ intel ที่แทบจะมีการอัพเกรดทุกๆ หกเดือนกันเลยทีเดียว จนมาถึง intel Core 2 Duo เรียกได้ว่าพอ Apple เปลี่ยนมาใช้ชิป intel ก็ทำให้เครื่องเปลี่ยนสเปคบ่อยขึ้นนั่นเอง








จนมาถึงเดือนตุลาคม ปี 2008 Apple ก็ได้ทำการรีดีไซน์ MacBook Pro ใหม่อีกครั้ง ซึ่งทุกๆ ท่านก็คงได้เห็นรูปร่างหน้าตากันไปแล้ว ซึ่งใน New MacBook Pro 15 นิ้ว รุ่นใหม่นี้ดูแล้วก็คล้ายการนำ MacBook Air มาสมผสานกับ iMac ในรุ่นปัจจุบัน โดยมีลักษณะ เด่นที่ขอบจอจะมีกรอบสีดำนั้นเองส่วนสเปคก็เรียกได้ว่าแรงซะใจกันไปกันใหญ่ และเราก็ยังต้องรอรุ่น ตัว MacBook Pro 17 นิ้ว กันต่อด้วยครับ ว่าจะมีดีไซน์เหมือนตัว 15 นิ้วหรือไม่ และสเปคจะเเรงแค่ไหน ต้องคอยติดตามกันต่อไป
ที่มา:www.Macdd.com





ซอพต์แวร์ผิดกฏหมาย (เพราะอย่างนี้ไง ไทยเลยไม่เจริญ)


ขอยืมคำพูดของ Ford Antitrust มาใช้สักหน่อยครับ "ซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ จั่วหัวพูดถึงทีไร เว็บไม่แตกก็ร้อนกันไปเป็นแถบ ๆ" แต่เนื่องจากตอนนี้เยอรมันเข้าหน้าหนาวละ หากเขียนเรื่องนี้แล้วร้อนก็คงดี จะได้ประหยัดค่าทำความร้อนไปได้หลายยูโร ซึ่งตอนนี้ประเด็นนี้กำลังร้อนมาก ๆ ใน blognone ผมไม่ได้เข้าไปอ่านแป้บเดียว กว่าสามร้อยความคิดเห็นไปแล้ว ตามอ่านแทบไม่ทัน วานฝากผู้เกี่ยวข้อง ให้ปักหมุดประเด็นนี้ไว้นาน ๆ หน่อยก็ดีครับ เผื่อจะมีความคิดเห็นที่สี่ร้อย ห้าร้อย ให้ได้อ่านกัน

อันที่จริงประเด็นเรื่องการละเมิดสัญญาอนุญาต (license) ไม่ได้เป็นประเด็นใหม่นัก ในความเคลื่อนไหวของคนโอเพนซอร์ส มักมีเรื่องนี้เข้ามาเป็นปัจจัยเสมอ เพราะคนใช้โอเพนซอร์สจำนวนไม่น้อยมีแนวคิดที่ว่า "ผมไม่อยากละเมิดสัญญาอนุญาต แต่ก็ไม่อยากเสียเงิน ผมก็เลยใช้โอเพนซอร์ส" (ซึ่งจริง ๆ แล้วปรัชญาโอเพนซอร์สมันมีมากกว่านั้น) คนที่ใช้งานซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สส่วนมาก เห็นความสำคัญของเรื่องสัญญาอนุญาต การรณรงค์การใช้งานโอเพนซอร์ส จึงมาควบคู่กับเรื่องสัญญาอนุญาตเสมอ

ผมเดาว่า คนที่เห็นความสำคัญของเรื่องสัญญาอนุญาต (ไม่จำเป็นต้องเป็นโอเพนซอร์ส)ซอฟต์แวร์ผิดกฏหมาย (เพราะอย่างนี้ไง ไทยเลยไม่เจริญ) คงโคตรจะรำคาญ เมื่อได้อ่านข้ออ้างอันฟังไม่ค่อยจะขึ้น ของพวกใช้ซอฟต์แวร์ผิดกฏหมาย เพราะลำพังการใช้ซอฟต์แวร์ผิดกฏหมายมันก็แย่พออยู่แล้ว บางคนยังภูมิใจที่ได้ใช้ หรือบางคนต่อเหน็บแนมว่าคนที่เขาใช้ของถูกกฏหมาย สิ่งแรกที่ควรทำความเข้าใจ ก่อนอ่านบรรทัดต่อไปจากนี้คือ การใช้ซอฟต์แวร์เถื่อนเป็นเรื่องผิดกฏหมาย คนใช้ไม่ควรภูมิใจ คนใช้ไม่ควรต่อว่าผู้อื่นในเรื่องการใช้ซอฟต์แวร์ถูกกฏหมาย ผู้ที่กระทำความผิดด้วยความภูมิใจ คือผู้ที่ไม่น่าให้อภัย

ประเด็นที่ผมจั่วหัว เรื่องการใช้ซอฟต์แวร์ผิดกฏหมาย ทำให้ประเทศไม่เจริญ ไม่ใช่ประเด็นทางจริยธรรม แต่เป็นประเด็นแนวคิดเศรษฐกิจโลกยุคใหม่

ในเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ ที่ทุกอย่างเชื่อมถึงกันเป็น globalization ประเทศที่ได้เปรียบทางเศรษฐกิจ จะไม่ใช่ประเทศที่ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมได้มาก และเร็วกว่าประเทศอื่นอีกต่อไป ประเทศที่เคยได้ชื่อว่าประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (NICs : New Industrie Countries) ในยุค 80's กำลังประสบปัญหาเรื่องการตลาด และการผลิต ด้วยปัจจัยหลัก ๆ สองประการคือ

  1. ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น เนื่องจากมาตรฐานชีวิตของคนในประเทศที่สูงขึ้น ทำให้ต้นทุนทรัพยากรมนุษย์ (ซึ่งเป็นต้นทุนหลักในอุตสาหกรรมส่วนมาก) สูงขึ้น การจ่ายเงินเดือนที่สูง ทำให้อุตสหกรรมต้องย้ายฐานการผลิตออกไปยังประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งคุณภาพชวิตของคนในประเทศเหล่านี้ก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ การย้ายฐานการผลิต จึงไม่ใช่ทางออกอีกต่อไป นอกจากนี้ปัญหาพลังงาน ยังทำให้ปัญหานี้เป็นปัญหาที่หนักขึ้นเรื่อย ๆ
  2. การแข่งขันในตลาดเสรี เป็นตัวกำหนด ทำให้อุตสาหกรรมต้องขายสินค้าตัวเองในราคาที่ต่ำลง

เมื่อต้นทุนสูงขึ้น ขายสินค้าได้ถูกลง อีกทั้งยังมีคู่แข่งใหม่ ๆ ในตลาดอย่าง จีน เกาหลี อินเดีย ไต้หวัน ทำให้จ้าวตลาดอย่าง อเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ต้องระสับระส่ายไปตาม ๆ กัน อีกทั้ง ประเทศกำลังพัฒนาประเทศอื่น ๆ ก็กำลังขยับตัวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตเช่นกัน ในเมื่อทุกคนต่างเป็นผู้ผลิต แล้วสินค้าที่ผลิตขึ้นมาจะไปขายใคร ? แล้วใครจะเป็นผู้อยู่รอดในการแข่งขันนี้ ?

คำตอบคือ ผู้ที่มี Know-how และ Expertise คือผู้ที่อยู่รอด

ดังนั้นการแข่งขันในโลกเศรษฐกิจยุคใหม่ จะไม่ใช่การแข่งขันทางการผลิตอีกต่อไป เพราะเรากำลังเดินมาถึงจุดอิ่มตัวทางด้านกำลังการผลิต และความเร็วในการผลิต การแข่งขันที่เราจะเห็นในอนาคต คือการแข่งขันกันในเรื่องของ Know-how เพราะผู้ที่ถือครอบครองความรู้ จะสามารถกำหนดทิศทางตลาด และการผลิตได้ สิ่งที่เราเห็นได้ชัดจากระบวนการดังกล่าวคือ การแยกฐานการผลิต และการวิจัยออกจากกัน (ซึ่งฐานการวิจัยจะกำหนดทิศทางทุกอย่างในการผลิต) มีการซื้อขายความรู้ และประสบการณ์กันมากขึ้น ด้วยราคาที่สูงขึ้น

เมื่อย้อนกลับมาดูประเทศไทย จะด้วยปัญหาการเมือง วิกฤตทาการศึกษา หรืออะไรก็แล้วแต่ เรายังไม่ตื่นตัวเรื่องนี้กันเลยแม้แต่น้อย เรายังมองไม่เห็นภาพเลยว่า จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ผมไม่เรียกร้องว่าประเทศไทยต้องเจริญ แต่อย่างน้อย เราก็ควรรู้ว่า สิ่งที่เราทำอยู่จะมีผลกระทบอย่างไร อันที่จริงเรื่องวิกฤต Know-how ไม่ได้มีเฉพาะในวงการไอทีเพียงอย่างเดียว แต่มีให้เห็นในทุกวงการ (ดังจะเห็นได้จากนักเรียนไทยส่วนมาก ทั้งเมืองไทย เมืองนอก มักเรียนกันเพื่อเอาวุฒิ) เพียงแต่วงการไอทีค่อนข้าง extreme หน่อย เพราะเป็นวงการที่ Know-how คือทุกอย่าง

การใช้ซอฟต์แวร์ผิดกฏหมาย เป็นความชัดเจนที่จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ผู้ใช้ไม่เห็นความสำคัญของ Know-how เพราะหากจะประเมินราคาของ Know-how ที่ถูกลงทุนไป เพื่อผลิตซอฟต์แวร์ตัวหนึ่ง ก็จะรู้ว่า ราคาซอฟต์แวร์ที่ขายกันอยู่ในท้องตลาดนั้น ถูกแสนถูกเพียงใด บางคนใช้เรื่อง Know-how เป็นข้ออ้างในการใช้ซอฟต์แวร์ผิดกฏหมาย โดยอาจจะบอกว่า เพราะเห็นความสำคัญของ Know-how ไง ก็เลยโขมยเขาใช้ เพราะเหมือนเป็นการโขมย Know-how ของเขามาด้วย เพราะอย่างนี้ไงครับ ถึงได้มีปัญหา เพราะยังแยกกันไม่ออกเลยว่า อะไรคือ Product อะไรคือ Know-how

คนที่ได้รับผลการะทบจากการใช้ซอฟต์แวร์ผิดกฏหมายมากที่สุด คงไม่ใช่ Microsoft หรือ Adobe แต่เป็นโปรแกรมเมอร์คนไทยและตัวผู้ใช้เอง เพราะรายได้ของผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง Microsoft หรือ Adobe สูงกว่ารายได้ที่เสียไปจากซอฟต์แวร์ผิดกฏหมาย อย่างเทียบกันไม่ได้ แต่การซื้อซอฟต์แวร์ผีแผ่นละร้อยมาใช้งาน เป็นการตัดแขนตัดขาของผู้ผลิตซอฟต์แวร์ในเมืองไทย ชนิดที่ไม่ให้ไปผุดไปเกิดกันเลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ผู้ผลิตรายย่อยจะเอาอะไรไปแข่ง ซอฟต์แวร์รคุณภาพห้าร้อย ขายราคาห้าร้อย ไปแข่งกับซอฟต์แวร์คุณภาพสามหมื่น ราคาร้อยเดียว ได้อย่างไร เผลอ ๆ ไอ้ราคาห้าร้อย อาจโดนเอาไปขายราคาร้อยเดียวอีก คงเซ็งน่าดู เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ยังมีใครอยากจะสร้าง Know-how อีกครับ

ส่วนผู้ใช้แม้ว่าจะไม่โดนผลกระทบมากมาย เหมือนผู้ผลิตซอฟต์แวร์รายย่อย แต่ก็ต้องรับกรรมที่ตัวเองก่อไว้เหมือนกัน อย่างที่เห็นชัด ๆ คือ ได้ใช้ซอฟต์แวร์ที่คุณภาพลดลง เพราะซอฟต์แวร์ผีแผ่นละร้อย มักมีสารปนเปื้อนมาให้ผู้ใช้ปวดหัวเล่นอยู่เสมอ ข้อนี้ไม่ใช่ความเชื่อของผม แต่เป็นประสบการณ์ตรง เรามักได้ยินคนไทยบ่นอยู่เสมอ ว่าวินโดวส์ไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ (ใช้ไปสักพักช้า ไวรัส ชอบแฮงค์ ฯลฯ) แต่เพื่อนร่วมงานผมกลับไม่ค่อยเจอปัญหาเหล่านี้ (ผมใช้ GNU/Linux คงเทียบกันไม่ได้) เพราะที่ทำงานผมใช้ซอฟต์แวร์แท้ 100%

หรืออย่างเวลาที่ผมต้องไปล้างเครื่องให้ใคร ก็มักจะได้ยินเสียงบ่นว่า ไม่รู้เครื่องเป็นอะไร ต้องล้างใหม่ทุกสามเดือน สืบไปสืบมาซอฟต์แวร์ผีอื้อซ่า เลยต้องจัดการฟอร์แมตเครื่อง ลงซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สให้ใช้สำหรับบางโปรแกรม ลงซอฟต์แวร์แท้ให้สำหรับบางโปรแกรม พร้อมสั่งกำชับ ห้ามลงซอฟต์แวร์ผิดกฏหมาย ห้ามลงโปรแกรมที่ไม่รู้ว่ามันเอาไว้ใช้ทำอะไร เวลาผ่านไปเป็นปี ไม่มีปัญหาอีกเลย อย่างนี้ไม่ใช่เพราะของปลอม ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร

หากเราจะมองข้างประเด็นเรื่องของแถมอันไม่พึงประสงค์ จากซอฟต์แวร์ผิดกฏหมาย มันก็ยังมีประเด็นอื่นที่ต้องให้คิดอยู่ดี นั่นคือ เรื่องราคาซอฟต์แวร์ที่สูงกว่าความเป็นจริง เพราะบริษัทผู้ผลิตย่อมบวก cost เหล่านี้ลงไปในราคาซอฟต์แวร์เสมอ แม้ว่าผู้ที่ใช้ซอพ์แวร์เถื่อน จะไม่ได้รับผลกระทบนี้โดยตรง แต่ก็ขอให้รู้เอาไว้ครับ ว่าคุณกำลังเอาเปรียบผู้ใช้คนอื่นอยู่ ไม่ได้เอาเปรียบบริษัทซอฟต์แวร์อย่าง Microsoft หรือ Adobe เพียงอย่างเดียว

ขอกลับมายังเรื่อง Know-how ในการสร้างซอฟต์แวร์ ว่าการสร้างนิสัยไม่รู้จักคุณค่าของ Know-how การไม่รู้จักเคารพสิทธิผู้อื่นในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ด้วยการใช้ซอฟต์แวร์เถื่อน มันจะสร้างนิสัยไม่ดีอื่น ๆ ตามมา คือ การไม่เห็นความสำคัญของกระบวนการสร้างความรู้ ที่สำคัญยิ่งกว่าตัว Know-how มากมายนัก แน่นอนว่า คนใช้ซอฟต์แวร์เถื่อน ต้องมีแนวคิดแบบ ผลนิยม คือไม่รู้จะเสียเงินเยอะไปทำไม ในเมื่อผลสุดท้ายมันเหมือนกัน โดยลืมคิดไปว่า ไอ้ระหว่างทางกว่าจะไปถึงผลน่ะ มันมีกระบวนการอื่น ๆ อีกมากมาย คนที่คิดได้ในเรื่องกระบวนการตรงนี้ จะผลิตซอฟต์แวร์อีกกี่ร้อยกี่พันก็ไม่มีปัญหา แต่คนที่หวังจะเอาแต่ผลอย่างเดียว ก็ต้องคอยผลอย่างเดียวตลอดไป

นอกจากนี้ยังมีประเด็นร้อนในวงการวิจัย ในยุคที่จีนเข้ามามีบทบาทต่อเศรษฐกิจโลกคือเรื่องของ จรรยาบรรณในงานวิจัยและพัฒนา เมื่อวันก่อน ผมได้คุยกับโปรเฟสเซอร์ และหัวหน้าทีมงานวิจัยจาก NSN ในเรื่องความไว้วางใจของบริษัทต่าง ๆ ที่มีต่อบริษัทสัญชาติจีน เนื่องจากบริษัทและรัฐบาลในฝั่งยุโรป และอเมริกา มีประสบการณ์และภาพที่ไม่ดีนัก ต่อรัฐบาลและบริษัทสัญชาติจีน (ที่อาจมีรัฐบาลหนุนหลังอยู่อีกที) เพราะในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีหลายครั้งที่บริษัทสัญชาติจีเล่นไม่ซื่อ มีการถ่ายทอดความรู้จากยุโรปและอเมริกาไปยังจีน ในลักษณะที่ไม่โปร่งใสนัก จนในระยะหลัง บริษัทในยุโรป และอเมริกาเลี่ยงที่จะทำสังฆกรรมกับจีน ซึ่งหลายคนคาดว่า ปัญหาดังกล่าว จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของจีนในระยะยาว (ตอนนี้ส่งผลบ้างแล้ว ในธุรกิจอาหาร และของเด็กเล่น)

แม้แต่จีนซึ่งเป็นประเทศใหญ่ มีกำลังบริโภคและการผลิตที่สูง ยังได้รับผลกระทบในเรื่องจรรยาบรรณการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ประเทศเล็ก ๆ และไม่มีอะไรไปต่อรองกับเขาอย่างไทย หากยังคิดจะเล่นไม่ซื่ออีก ใครเขาจะอยากมาทำธุรกิจด้วย!

สำหรับคนที่ไม่ได้ทำงานด้านนี้โดยตรง ไม่มีความรู้เรื่องซอฟต์แวร์และสัญญาอนุญาต แล้วใช้ซอฟต์แวร์เถื่อน ผมค่อนข้างเฉย ๆ เพราะในเมื่อเขาไม่รู้ จะให้ทำอย่างไร แต่คนที่ทำงานด้านนี้โดยตรง จะอ้างไม่ได้ว่าไม่มีความรู้เรื่องนี้ (หากไม่มีความรู้เรื่องนี้ ก็ควรไปหาอาชีพอย่างอื่นทำ ที่ไม่ต้องใช้ความรู้เรื่องนี้) แม้ว่าคนเหล่านี้จะมีเหตุผลร้อยแปดพันเก้า ในการอ้างความชอบธรรมในการใช้ซอฟต์แวร์ผิดกฏหมาย แต่เหตุผล ที่เป็นเหตุผลจริง ๆ มีเพียงสองข้าเท่านั้น คือ เสียดายเงิน กับไม่เคารพสิทธิผู้อื่น

สำหรับคนที่เสียดายเงิน คุณไม่ผิดครับ ที่เสียดายเงิน แต่ผิดที่ไปละเมิดสิทธิผู้อื่น และใช่ว่าคุณเสียดายเงิน แต่อยากใช้ หรือมีความจำเป็นต้องใช้ซอฟต์แวร์บางอย่าง แล้วไม่มีทางเลือกอย่างอื่น ก็อย่างที่ผมเขียนไว้ตั้งแต่ต้นครับ ว่าโอเพนซอร์สคือทางออก หากคุณบอกว่าโอเพนซอร์สใช้ยากเกินไปหรือไม่ดีพอ เลยต้องใช้ของเถื่อน ผมคงประเมินได้แค่ว่า คุณเป็นคนที่เสียดายเงิน และพร้อมจะละเมิดสิทธิของผู้อื่น เพื่อความสบายของตัวเอง (ประเมินตาม fact ล้วน ๆ)

อันที่จริงประเด็นการใช้ซอฟต์แวร์ผิดกฏหมาย ไม่น่าจะเป็นประเด็นที่ต้องถกเถียงกันได้ เพราะความชัดเจนมันมีตั้งแต่แรกแล้ว ได้ชื่อว่าทำผิดกฏหมาย ไม่ว่าคุณจะมีข้ออ้างอย่างไร ข้ออ้างเหล่านั้นก็ไม่สามารถนำมาหักล้างกับความผิดได้

หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกที่ BioLawCom.De

วันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2551

Touching Core i7 920 World Record

Touching Core i7 920 World Record


สวัสดีคร๊าบบบ.... กลับมาพบเจอกันอีกครั้งแล้วนะครับกับเรื่องราวแรงๆ เรื่องราวมันส์ๆในการโอเวอร์คล๊อกในแบบ Extreme ซึ่งวันนี้นั้นเราก็กลับมาพร้อมกับเรื่องราวที่ยังคงเป็นกระแสร้อนแรงที่สุด ในเวลานี้ และก็คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่เรื่องราวของการเปิดตัวซีพียูในเจเนเร ชันใหม่จากค่ายอินเทลที่รู้จักกันในนาม Nehalem แต่ในวันนี้นั้นเราไม่ได้จะมาพูดถึงเทคโนโลยีใหม่ๆเหมือนๆกับที่ผ่านมา เพราะว่าวันนี้เราจะมาพบกับการรีดเข็นพลังที่ซ่อนเร้นอยุ่ภายในของมัน เพื่อลองดูกันว่ามันจะมีพลังแอบแฝงอยุ่มากน้อยซักเพียงไร แต่ก่อนจะไปว่ากันที่เรื่องของการโอเวอร์คล๊อกในแบบสุดขีดนั้น หากว่าใครที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่อง แต่อยากทราบว่าเจ้า Nehalem ที่เราพูดไปนั้นมันคืออะไร ถ้าอยากทราบก็สามารถเข้าไปติดตามได้จากบทความเปิดตัวที่เราได้นำเสนอกันไป เมื่อประมาณอาทิตย์ที่ผ่านมานี่เองนะครับ แต่ถ้าใครที่ทราบกันดีอยู่แล้วเราก้มาติดตามชมกันเลยนะครับว่า วันนี้กับการ Overclock ในแบบ Extreme ด้วยซีพียูที่เพิ่งจะเปิดตัวไปหมาดๆชนิด " ผายลมยังไม่ทันจะหายเหม็น " เราจะทำผลงานออกมาได้ดีซักขนาดไหน และจะจริงเท็จอย่างไรกับหัวข้อที่เราจั่วไว้ เราลองมาชมกันเลยครับ


ก็ คงไม่ต้องมีหนังไตเติ้ลหรือบทนำร่ายยาวให้เสียเวลา เรามาเข้าประเด็นกันเลย สำหรับวันนี้ซีพียูที่เราเลือกมาเพื่อทำการแช่แข็งก็จะเป็นซีพียูในโมเดล น้องเล็กในตระกูลกับ Intel Core i7 920 ซึ่งหลายๆคนในที่นี้ก็คงจะได้เห็นประสิทธิภาพของมันกันไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นครั้งเปิดตัวหรือกับการทดสอบเมนบอร์ดทั้งสามโมเดลที่เพิ่งจะ ผ่านพ้นไป และวันนี้มันก็กำลังจะโดนแช่แข็งแล้ว โดยเมนบอร์ดที่เราเลือกจับคู่มาร่วมชะตากรรมนั้นก็จะเป็นเมนบอร์ดจากทาง GIGABYTE ในโมเดล EX58-UD5P ที่เพิ่งจะผ่านสู่สายตากันไปชนิดสดๆร้อนๆเช่นกัน เอาหละก็ขอสรุปสเป็คโดยรวมทั้งหมดที่เราหยิบมาทำการรีดประสิทธิภาพของ i7 920 ในวันนี้กันนะครับ

CPU : Intel i7 920
CPU Cooling : ZK rev2.1 LN2 pot
MB : GIGABYTE EX58-UD5P
RAM : G.SKILL F3-12800CL7D-2GBHZ x1 / F3-12800CL9D-2GBNQ x2
GFX : ASUS EAH4870X2 TOP CFX
HDD : Western Raptor
PSU : Silverstone OP1000W


ตรง นี้ก็ไม่มีอะไรมากครับ เพียงแค่เอามาให้ชมกันว่าเมโมรีที่เราใช้นั้นเป็นแบบ Triple-Channel Mixed pair โดยที่จะเป็นเมโมรีจากสองโมเดลที่มาทำงานร่วมกัน แต่ด้วยที่สเป็คค่อนข้างต่างกันมากก็เลยทำให้เราโดนบังคับให้ต้องเล่นไทมิ่ง ในแบบหลวมๆ และไม่ใช่หลวมธรรมดา เพราะหลวมกันสุดๆ ก็เลยหยิบเอามาให้ได้ชมกันก่อนที่จะสงสัยว่าเหตุใดเราจึงใช้ไทมิ่งที่หลวม ยิ่งนัก !!!


Max Validation - Core i7 920 WR (11/11/08)


กระโดด มาเข้าประเด็นกันเลยครับ.... และนี่ก็คือผลงานที่ดีที่สุดของเราในวันนี้ ก็ทำออกมาได้เท่าที่เห็นนี่หละครับสำหรับ Core i7 920 จากความเร็วเดิมๆที่ 2.66GHz ที่สามารถลากมันมาได้ไกลกว่า 4.65GHz และบอกกันเลยว่าที่ความเร็ว 4.65GHz ตรงนี้นั้น แม้จะใช้ LN2 ในการระบายความร้อนแต่อุณหภูมิที่เราเลี้ยงไว้นั้นแค่แถวๆ -30 ํC เท่านั้นครับ


SuperPi 1M @4.65GHz (221x21)


มา ชมกันต่อเลยครับหลังจากได้เห็นความเร็วในระดับ WR ของ I7 920 กันไปแล้วว่ามีความเร็วขนาดไหน ตรงนี้เรามาดูกันอีกซักนิดหน่อยว่านอกจากมันจะ Validate ได้แล้วนั้นมันยังทำอะไรได้อีกบ้าง ก็เริ่มที่โปรแกรมทดสอบยอดฮิตติดอันดับอย่าง SuperPi ซึ่งที่ความเร็ว 4.65GHz นั้นกับระดับการทดสอบ 1M ก็ผ่านฉลุยครับ !!!


SuperPi 32M @4.65GHz (221x21)


นอก จาก SuperPi 1M แล้วนั้นในระดับ 32M ก็ยังผ่านฉลุยไร้ปัญหาเช่นกัน.... แว๊ปมาดูเวลาเมื่อเปรียบเทียบกับความเร็วซีพียูแล้วยอมรับเลยครับว่า Nehalem นี่รัน SuperPi ได้รวดเร็วทันใจจริงๆ แม้ว่ายังไม่มีการ Tweak ใดๆก็ตามที


Other Benching


HexusPifast @4.65GHz


อีกซักหน่อยกับความเร็วในระดับ WR กับ HexusPifast ซึ่งก็จบลงด้วยเวลาเพียง 19.34 เท่านั้น


Wprime 1.55 @4.6GHz


สำหรับ Wprime ก็จบลงด้วยเวลาเพียง 5.767 วินาที

Max 3DBenching


ก่อน ที่เราจะไปชมกันที่ผลการทดสอบ ขออนุญาตวิชาการอีกซักหน่อยคั่นรายการนะครับ เพราะคิดว่าหลังจากที่เห็นความเร็วซีพียูที่ขยับขึ้นไปกว่า 4.6GHz แต่เรื่องความเร็วซีพียุนั้นคงไม่ใช่ประเด็นใหญ่ แต่ประเด็นใหญ่คงจะอยู่ที่เรื่องของอัตราตัวคูณ ที่บางท่านเห็นแล้วอาจจะงงกันว่าเหตุใด i7 920 ที่เราทดสอบกันไปมีตัวคูณที่ระดับ 21x มาให้ใช้งานด้วย ??? เพราะจริงๆแล้วมันจะมีมาให้สูงสุดเพียง 20x เท่านั้น !!! ใช่แล้วครับมันมีมาให้ปรับเพียง 20x แต่ถ้าท่านเปิดใช้ฟังก์ชัน Intel Turbo Mode แล้วมันก็จะจัดสรรค์ให้เราเพิ่มมาให้อีกหนึ่งระดับ แต่สำหรับฟังก์ชันดังกล่าวนี้นั้นมันจะสามารถรักษาระดับตัวคูณไว้ที่ 21x ไว้ได้ตลอดเวลาก็ต่อเมื่อซีพียูถูกเรียกใช้งานสูงสุดเพียง 2 เทรด แต่ถ้ามีงานมากกว่า 2 เทรดเมื่อใด ระดับตัวคูณก็จะถูกลดลงเหลือที่ระดับ 20x ทันที ซึ่งเราก็มีตัวอย่างมาให้ชมกันทางด้านบนว่า หากมีงานแค่ 2 เทรดนั้นตัวคูณของซีพียูก็จะยังคงรักษาไว้ที่ 21x เอาหละครับก็หวังว่าคงจะเข้าใจทั้งข้อมูลที่ให้ไปและเจตนาที่จะสื่อให้ได้ ทราบ ต่อจากนี้ไปก็ไปชมผลงานของ I7 920 กันต่อเลยครับ


3DMark 2003


สำหรับ 3DMark03 นั้นเป็นโปรแกรมที่จะเรียกใช้ซีพียูเพียง 2 เทรดเท่านั้น ตรงนี้กับผลที่ออกมาก็คือประสิทธิภาพ ณ ความเร็ว 4.55GHz ตามที่แสดงอยุ่บน CPU-Z นั่นหละครับ


3DMark 2005


3DMark03 ก็เช่นเดียวกันกับ 3DMark03 ที่จะใช้ซีพียูเพียง 2 เทรด


3DMark 2006


สำหรับ 3DMark06 นั้น ประสิทธิภาพที่ได้มาตรงนี้ก็เท่ากับว่าเป็นการ Benchmark ที่ความเร็วซีพียุจริงที่ 4.3GHz เท่านั้น ส่วนเหตุผลก็ได้อธิบายไว้แล้วทางด้านบน

PCMark05


ชัดเจน ครับกับโปรแกรมที่เรียกใช้ CPU ในแบบ Multi-Thread อย่าง PCMark05 นั้นความเร็วจริงในการทดสอบก็จะเป็น 4.3GHz เช่นเดียวกันกับ 3DMark06 นั่นหละครับ


Conclusion


สำหรับเรื่องราวทั้งหมดในวันนี้จริงๆนั้น ประเด็นของมันจริงๆก็จะอยู่ที่ความเร็วของเจ้า Core i7 920 ที่เราสามารถพามันไปโลดแล่นด้วยความเร็วในระดับ World Record กับความเร็วกว่า 4.6GHz เท่านั้นแหละครับ แต่ส่วนองค์ประกอบอื่นนั้นก็ถือว่าเป็นเพียงน้ำจิ้ม ที่เราได้ทำการ Benchmark มาให้ได้ชมกันว่าสามารถทำการทดสอบอะไรได้บ้างและที่ความเร็วระดับใดบ้าง ส่วนเรื่องผลคะแนนที่ออกมาจากทั้งหมดนั้นถือว่าอยุ่ในเกณฑ์ที่ยังไม่ถือว่า โดดเด่นแต่อย่างไร เพราะถ้าดูกันจริงๆแล้วบางอย่างยังมีคะแนนที่ด้อยกว่า Core 2 Duo ที่เราได้เคยนำเสนอกันไป เพราะว่าหลายๆอย่างในเวลานี้สำหรับการทดสอบนั้นยังคงอ้างอิงกับความเร็วของ ซีพียุเป็นหลักนั่นเอง แต่สำหรับในอนาคตคาดว่าโปรแกรมทดสอบต่างๆคงจะรองรับในเรื่อง Multi-Thread มากขึ้นอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นซีพียูหลายคอร์หลายเทรดจึงจะได้เปรียบขึ้นมาเห็นๆ ส่วนเวลานี้ก็คงยังต้องอาศัยเร็วเข้าว่าไว้ก่อนหละครับ แต่แม้ว่าวันนี้เรายังจะไม่ได้เห็นคะแนนในแบบล้นหลามจาก Nehalem กับในเรื่อง Extreme Overclock ถึงกระนั้นก้ถือว่าประสบผลสำเร็จไปด้วยดีกับการที่ได้สัมผัสกับความเร็วใน ระดับ WR ซึ่งเราจะยังคงไม่หยุดอยู่แต่เพียงเท่านี้แน่นอน แล้วมารอชมในตอนต่อไปกันนะครับว่าจะมีอะไรแรงๆมาให้ได้ชมกันอีกหรือไม่ ส่วนวันนี้ก้ต้องขอตัวก่อนนะครับ

http://overclockzone.com/zolkorn/year2008/11/core_i7_920WR/index.htmlสวัสดีครับ

เมื่อBlogenone เยือนถิ่นไมโครซอฟท์

รายงาน Live Services Jumpstart 2009

เมื่อวันที่ 10 - 11 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ที่ผ่านมา ผมได้เข้าคอร์สอบรมของไมโครซอฟท์ ในหัวข้อ Live Services Jumpstart 2009 จัดขึ้นที่โรงแรมแมริออท ประเทศสิงคโปร์ ทั้งนี้ Live Services Jumpstart จัดว่าเป็นการอบรมครั้งยิ่งใหญ่ของไมโครซอฟท์ เพราะจัดอบรมในเวลาไล่เลี่ยกันในหลายประเทศ และใช้งบในการจัดอบรมไม่น้อยทีเดียว (ดูจากจำนวนผู้เข้าอบรม และสถานที่อบรมกับอาหารชั้นดี) ขอแนะนำสั้นๆก่อนว่า การอบรมนี้เป็นภาคปฏิบัติที่แนะนำให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์เข้าใจวิธีการพัฒนา แอพพลิเคชันเพื่อทำงานอยู่บน “กลุ่มเมฆของไมโครซอฟท์”

ต่อไปนี้ ผมจะใช้คำว่า “กลุ่มเมฆ” แทนแพลตฟอร์มของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ทำงานอยู่บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อให้บริการในรูปแบบต่างๆแก่ผู้ใช้

การอบรม Live Services Jumpstart

Live Services Jumpstart เป็นคอร์สอบรมภาคปฏิบัติ ส่วนใหญ่ผู้เข้าอบรมเป็นบริษัทพาร์ทเนอร์ของไมโครซอฟท์ ส่วนบริษัทอื่นๆหรือบุคคลทั่วไปก็สามารถลงทะเบียนเข้าอบรมได้ด้วยเช่นกัน โดยไม่เสียค่าลงทะเบียนใดๆทั้งสิ้น ซึ่งเนื้อหาอบรมจะเน้นไปที่ แนวทางการพัฒนาแอพพลิเคชันด้วยเครื่องมือต่างๆที่จัดเตรียมโดย Live Services สำหรับตารางหัวข้ออบรม ท่านสามารถดูได้จาก Agenda สำหรับข้อมูลอื่นๆของการอบรมสามารถดูได้ที่เว็บ lsjumpstart.com

ผมขอออกตัวก่อนว่า รายงานครั้งนี้ จะไม่รายงานในส่วนภาคปฏิบัติ ซึ่งเป็นการลงมือเขียนโปรแกรมแบบเป็นขั้นเป็นตอน แต่ผมจะรายงานแบบสรุปว่า เนื้อหาของการอบรมครอบคลุมเรื่องอะไรบ้าง และผมจะอ้างอิงเรื่องอื่นที่นอกเหนือจากการอบรมด้วย เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ทราบวิสัยทัศน์ของไมโครซอฟท์ และเนื่องจากผมห่างหายจากวงการพัฒนาซอฟต์แวร์ไปนานแล้ว ทำให้ผมไม่ถนัดที่จะอธิบายเทคโนโลยีต่างๆที่ไมโครซอฟท์ใช้อยู่ ดังนั้น หากท่านมีประสบการณ์และความรู้ในเรื่องนี้ ท่านสามารถแชร์สิ่งที่ท่านรู้ให้พวกเราได้อ่าน ก็จะเป็นพระคุณอย่างมาก

สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาวิธีการพัฒนาโปรแกรมด้วย Live Services จริงๆ ท่านสามารถศึกษาได้ด้วยตนเองที่ MSDN

Windows Live กับ Live Services

ก่อนที่จะลงรายละเอียดของเนื้อหาอบรมจริงๆ ผมขออธิบายความหมายของ Windows Live กับ Live Services

Windows Live เป็นบริการบนอินเทอร์เน็ต สำหรับหน้าเว็บหลักของ Windows Live อยู่ที่ home.live.com ส่วน live.com เป็นหน้าหลักของบริการ Live Search หากจะลงรายละเอียดไปอีกนิดนึง Windows Live ก็คือ ศูนย์กลางของบริการต่างๆที่ทำงานอยู่บนกลุ่มเมฆของไมโครซอฟท์ โดยมีบริการอยู่หลายตัวด้วยกันตามที่แสดงไว้ในภาพต่อไปนี้ ก่อนอื่นขอบอกไว้ล่วงหน้าก่อนว่า บริการบนกลุ่มเมฆของไมโครซอฟท์ไม่ได้มีแค่เพียง Windows Live เท่านั้น แต่ยังมีบริการอื่นอีก ซึ่งจะกล่าวในรายงานนี้นิดหน่อยในส่วนของ Azure

alt text

ผมเชื่อว่าหลายท่านรู้จักและได้ใช้หรือกำลังใช้บริการของ Windows Live กันแล้ว บริการของ Windows Live มีมากมาย อันได้แก่ Windows Live Hotmail, Windows Live Calendar, Windows Live Alerts, Windows Live Favorites, Windows Live SkyDrive, Windows Live Spaces, Windows Live Messenger และอีกมากมาย (เคยใช้กันหมดหรือยังครับ) ส่วนท่านที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติม สามารถอ่านข้อมูลคร่าวๆได้ที่ Wikipedia

ส่วน Live Services คือ ศูนย์กลางของเครื่องมือสำหรับพัฒนาแอพพลิเคชันที่สามารถเข้าถึงผู้คนที่มี มากกว่า 400 ล้านรายที่กำลังใช้บริการต่างๆของ Windows Live อยู่ ถ้าหากมองความสัมพันธ์ระหว่าง Windows Live กับ Live Services แล้วจะกล่าวได้ว่า Live Services จัดเตรียมเครื่องมือสำหรับการพัฒนาแอพพลิเคชันเพื่อเรียกบริการของ Windows Live ทั้งนี้ หน้าเว็บหลักของ Live Services จะอยู่ที่ dev.live.com

เกาะทั้งสี่

การอบรมเริ่มที่การอธิบายถึง การดำรงชีวิตในยุคดิจิตอล (digital lives) ที่ต้องเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบทั้งหมด 4 กลุ่ม ซึ่งไมโครซอฟท์เรียกแต่ละกลุ่มว่า เกาะ (island) ได้แก่ เกาะของผู้คน (people), เกาะของอุปกรณ์ (devices), เกาะของแอพพลิเคชัน (applications), และ เกาะของข้อมูลที่เป็นหนึ่งเดียวกัน (data synchronization) โดยเกาะทั้งสี่นี้ก็คือวิสัยทัศน์ของไมโครซอฟท์ และไมโครซอฟท์ตั้งเป้าหมายไว้ว่าต้องพิชิตเกาะทั้งสี่นี้ให้ได้ ด้วยการรวมเกาะทั้งสี่ภายใต้กลุ่มเมฆเดียวกัน ซึ่งไมโครซอฟท์เรียกกลุ่มเมฆของตนว่า Azure

  • เกาะของผู้คน คือ มนุษย์ที่ใช้ชีวิตในยุคดิจิตอล

  • เกาะของอุปกรณ์ เกิดจากการที่ไมโครซอฟท์เล็งเห็นว่าเกาะ people เป็นเจ้าของหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์หรือ device เป็นอย่างมาก ตัวอย่่างของอุปกรณ์ ได้แก่ โทรศัพท์มือถือ (อย่าง Windows Mobile), พีดีเอ (เช่น Pocket PC), เครื่องเกมคอลโซล (เช่น XBOX 360), โทรทัศน์, เครื่อง set-top-box, Microsoft Surface, เครื่องเล่น MP3 แบบพกพา (เช่น Zune) และอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ

  • เกาะของแอพพลิเคชัน เป็นเกาะของกลุ่มซอฟต์แวร์ ซึ่งต้องยอมรับเลยว่า ไมโครซอฟท์เป็นเจ้าพ่อที่สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์หลากหลายประเภทและ ครอบคลุมความต้องการได้อย่างกว้าง ตั้งแต่ Microsoft Windows สำหรับเป็นระบบปฏิบัติการ, Microsoft Office สำหรับจัดการงานเอกสารสำนักงาน, Microsoft Encarta สำหรับการศึกษา, และซอฟต์แวร์เกมต่างๆในเครือ Microsoft Game Studios เป็นต้น

  • เกาะของข้อมูลที่เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นเกาะที่เกิดจากการประสานข้อมูลที่แชร์กันระหว่าง ผู้คน อุปกรณ์ และแอพพลิเคชัน หรือเรียกง่ายๆว่า เป็นการทำให้เกาะต่างๆเห็นข้อมูลเหมือนกัน ซึ่งระบบที่ใช้ในการประสานข้อมูลนี้มีชื่อว่า Live Mesh

วิสัยทัศน์ของไมโครซอฟท์ คือ เกาะทั้งสี่ ได้แก่

People, Devices, Applications, Data Synchronization

ผมขอเปรียบเทียบเกาะทั้งสี่ของไมโครซอฟท์ กับ กลยุทธ์ C3 ​​(Client Connectivity Cloud) ของกูเกิล ขออ้างอิงจากรายงาน Google Developer Day 2008 นำเสนอโดย mk

กูเกิลมีวิสัยทัศน์ว่า ผู้ใช้ ซึ่งเทียบได้กับ “เกาะของผู้คน” สามารถเข้าถึงบริการต่างๆที่ทำงานบนกลุ่มเมฆของกูเกิลผ่านเบราว์เซอร์ ทั้งนี้บริการของกูเกิลก็เทียบได้กับ “เกาะของแอพพลิเคชัน” โดยมีเบราว์เซอร์ทำหน้าที่เป็น client หรือตัวแทนของผู้คนในการเข้าถึงบริการต่างๆ และกูเกิลก็มี Gears สำหรับประสานข้อมูลระหว่างกลุ่มเมฆ กับ client ซึ่งเทียบได้กับ “เกาะของข้อมูลที่เป็นหนึ่งเดียวกัน” นอกจากนี้แล้ว กูเกิลยังมี Android ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ทำให้ผู้คนเข้าถึงบริการผ่านโทรศัพท์มือถือได้อีกด้วย และอุปกรณ์อย่างโทรศัพท์มือถือก็เทียบได้กับ “เกาะของอุปกรณ์”

กลุ่มเมฆของไมโครซอฟท์ ในนามว่า Azure

Azure คือ กลุ่มเมฆของไมโครซอฟท์ มีสถาปัตยกรรมดังภาพต่อไปนี้

alt text

ภาพรวมของสถาปัตยกรรมAzure มีอยู่ 3 ชั้น โดยชั้นล่างจะให้บริการงานเฉพาะทางแก่ชั้นบน ขออธิบายจากชั้นล่างขึ้นบน ดังนี้

  • Windows Azure คือ ระบบปฏิบัติการของกลุ่มเมฆ

  • องค์ประกอบหลักทั้งห้า (หรือ building blocks ทั้งห้า) ประกอบด้วยเฟรมเวิร์คและรันไทม์สำหรับการทำงานของบริการและซอฟต์แวร์ต่างๆ ที่อยู่ชั้นบนสุด ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ประเภท อันได้แก่ Live Services, .NET Services, SQL Services, Sharepoint Services, และ CRM Services โดยเราจะเรียกองค์ประกอบในชั้นนี้กับชั้นของ Windows Azure รวมกันว่า Azure Services Platform

  • ชั้นบนสุด เป็นซอฟต์แวร์และบริการที่ใช้โดยเกาะทั้งสี่ตามที่กล่าวไปแล้ว ทั้งนี้ การอบรมจะครอบคลุมเพียง Windows Live

ขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดของ Azure เพราะผมยังไม่ได้มีโอกาสริวิวมันแบบจริงจัง ดังนั้น ขอย้อนกลับมาที่ Live Services อันเป็นหัวข้อหลักของการอบรมนะครับ

พัฒนาแอพพลิเคชันด้วย Live Services

ขอกล่าวถึง Live Services แบบกว้างๆว่า Live Services เป็น ชุดพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ประกอบด้วยเฟรมเวิร์คและ API มากมายสำหรับการพัฒนาแอพพลิเคชันเพื่อเข้าถึงบริการต่างๆของ Windows Live และยังมีชุดพัฒนาสำหรับการประสานข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งนี้ Live Services ได้จัดเตรียมเครื่องมือสำหรับพัฒนาแอพพลิเคชันโดย Visual Studio .NET และที่สำคัญไปกว่านั้น Live Services ยังจัดเตรียมวิธีการพัฒนาแอพพลิเคชันที่อิงกับมาตรฐานสากล ทำให้รองรับภาษาคอมพิวเตอร์และแพลตฟอร์มอื่นๆได้อีกด้วย

alt text

ภาพข้างบน แสดงองค์ประกอบของ Live Services ทั้งหมด 6 องค์ประกอบด้วยกัน คือ Identity, Directory, Storage, Communications and Presence, Search and Geospatial, และ Mesh Services ผมจะไม่ลงรายละเอียดขององค์ประกอบทั้งหมดนี้ ผมเพียงอยากแสดงให้เห็นว่า แต่ละองค์ประกอบได้จัดเตรียมเครื่องมือและวิธีการพัฒนาซอฟต์แวร์ (เช่น API) ไว้สำหรับเรียกบริการเฉพาะทางที่อยู่บนกลุ่มเมฆ มาดูตัวอย่างส่วนหนึ่งของเครื่องมือเหล่านี้ว่ามีอะไรบ้าง

  • Windows Live ID SDK สำหรับจัดการข้อมูลประจำตัวของผู้ใช้ (ผู้ใช้อยู่บนเกาะของผู้คน) ที่เรียกว่า Windows Live ID (ชื่อเดิมคือ Microsoft Passport) ซึ่งตอนนี้สนับสนุน OpenID แล้วด้วย

  • Live Framework SDK สำหรับพัฒนาแอพพลิเคชันที่เรียกว่า Mesh-enabled ซึ่งจะกล่าวต่อไป

  • Live Search API สำหรับพัฒนาแอพพลิเคชันเพื่อค้นหาข้อมูลผ่านบริการ Live Search

  • Microsoft Virtual Earth SDK สำหรับพัฒนาแอพพลิเคชันเพื่อค้นหาข้อมูลอย่างเช่น ค้นหาแผนที่ของสถานที่ และพิกัดเส้นรุ่งเส้นแวงของสถานที่ ผ่านบริการของ Microsoft Virtual Earth

  • Live Services Communications and Messaging APIs สำหรับพัฒนาแอพพลิเคชันเพื่อรับส่งข้อความระหว่าง Windows Live Messenger, กำหนดสถานะของผู้ใช้ (Windows Live Presence), และรับส่งข้อความแจ้งเตือนของบริการ Windows Live Alerts นอกจากนี้แล้ว ยังจัดเตรียมไลบรารี JavaScript สำหรับพัฒนาโปรแกรมให้มีความสามารถอย่าง Windows Live Messenger อีกด้วย

  • Windows Live Spaces SDK สำหรับพัฒนาแอพพลิเคชันสำหรับจัดการข้อมูลข่าวสารบนบริการ Windows Live Spaces

  • Silverlight Streaming SDK สำหรับพัฒนาแอพพลิเคชันเพื่อจัดการไฟล์ที่อยู่บนบริการ Silverlight Streaming (เป็นบริการคล้ายๆ YouTube)

เราสามารถสร้างแอพพลิเคชันโดยใช้ API หลายชนิดเพื่อเข้าถึงบริการที่หลากหลายพร้อมกันได้ ท่านสามารถดูตัวอย่างของเว็บแอพพลิเคชันที่ใช้ Live Services ได้ที่ Quick Applications ในนั้นมีแอพพลิเคชันกว่า 10 ตัวให้เราได้ชม โดยกดที่ลิงค์ชื่อ Tour the Demo Site ของแอพพลิเคชันที่เราต้องการชม ลองเริ่มดูสาธิตที่ Tifiti และ Contoso Bicycle Club และถ้าท่านไม่สามารถเปิดแอพพลิเคชันบางตัวใน Quick Applications ได้ แนะนำว่าให้ท่าน sign in ด้วย Windows Live ID ของท่านผ่านการกดที่แท็ปชื่อ sign in นอกจากนี้ แอพพลิเคชันอาจต้องใช้ Silverlight ดังนั้นอย่าลืมติดตั้ง Silverlight ด้วย เท่าที่ผมทดลองใช้งาน แอพพลิเคชันเหล่านี้จะทำงานได้ดีบน IE และ Firefox

วิทยากรได้สาธิตวิธีการใช้เครื่องมือพัฒนาของ Live Services เพื่อเรียกบริการต่างๆ เริ่มตั้งแต่ Live ID, Live Search, Virtual Earth, Messenger, Presence, Alerts และ Silverlight Streaming ตามลำดับ ซึ่งหัวข้อทั้งหมดนี้ได้ถูกอบรมแบบอัดแน่นภายในวันเดียว นั่นคือวันแรกของการอบรม ส่วนวันที่สองซึ่งเป็นวันสุดท้ายจะเน้นไปที่ Live Framework SDK อันเป็นเครื่องมือพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับ Live Mesh

เชื่อมทุกเกาะด้วย Live Mesh

alt text

Live Mesh คือ ระบบสำหรับประสานข้อมูลระหว่างแอพพลิเคชันและอุปกรณ์ต่างๆ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ เชื่อมเกาะต่างๆให้อยู่ภายใต้กลุ่มเมฆเดียวกัน (นั่นคือ Azure) มากไปกว่านั้น Live Mesh ยังทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานแอพพลิเคชันได้ทุกเวลาแม้ว่าจะเชื่อมต่อหรือไม่ เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตก็ตาม ทำให้ผู้ใช้สามารถเปิดดูข้อมูลและแก้ไขข้อมูลได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าอุปกรณ์ต้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา แต่ทว่า การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจะทำให้ผู้ใช้ได้ข้อมูลที่ทันสมัย ทั้งนี้ เราจะเรียกแอพพลิเคชันที่สนับสนุนการประสานข้อมูลโดย Live Mesh ว่า Mesh-enabled (เวลาผมฟังวิทยากรออกเสียงคำนี้ เขาออกเสียงคล้ายคำว่า Meshable)

วิทยากรได้เปิดวิดีโอแนะนำ Live Mesh ด้วย อาทิเช่น วิดีโอชื่อ Synchronizing life ต่อไปนี้ (ผมเอามาจาก YouTube แนะนำให้เปิดดูแบบ HD)

http://www.youtube.com/watch?v=lFpwzg-AP_Q

คลิปวิดีโออีก 2 คลิปที่วิทยากรเปิดให้ดูช่วงพัก ดูได้จาก Channel 9 MSDN ในหัวข้อ Ori Amiga: Programming the Mesh และ Ori Amiga: Mesh Mobile

ลองเข้าไปใช้บริการ Live Mesh ได้ที่ mesh.com ผมเชื่อว่าหลายท่านในที่นี้ได้ลองใช้ Live Mesh แล้ว และเชื่อว่าหลายท่านยังไม่ประทับใจในความสามารถของ Live Mesh แต่ทางวิทยากรบอกว่า ตอนนี้ Live Mesh ยังอยู่ในช่วงทดลอง (หรือเบต้า) ดังนั้น ความสามารถของ Live Mesh ยังจำกัดอยู่เยอะ

เมื่อเราเข้าไปที่ Live Mesh ด้านบนจะมีแท็ปชื่อ Desktop กับ Devices ในส่วนแท็ป Devices เราสามารถเพิ่มอุปกรณ์ (ได้แก่ คอมพิวเตอร์, โทรศัพท์มือถือ, และอุปกรณ์อื่นๆ) ที่เราต้องการประสานข้อมูลระหว่างอุปกรณ์เหล่านั้น ส่วนแท็ป Desktop เป็นการเข้าไปจัดการ Desktop (เหมือน Desktop ของระบบปฏิบัติการ) ซึ่งเรียกว่า Mesh Desktop ส่วนนี้ เราสามารถสร้างโฟลเดอร์ใหม่ อัพโหลดไฟล์เข้าโฟลเดอร์ โพสต์ข้อความลงโฟลเดอร์ และอัพโหลดแอพพลิเคชันใหม่ๆลงไปได้ ซึ่งข้อมูลและแอพพลิเคชันเหล่านี้สามารถซิงค์หรือประสานให้อุปกรณ์ทุกตัวที่ เราใส่ในแท็ป Devices สามารถได้รับข้อมูลเดียวกัน (ทั้งโฟลเดอร์ ไฟล์ ข้อความ และแอพพลิเคชัน)

ใน Live Mesh คำว่า ประสานข้อมูลหรือซิงค์ข้อมูล หมายถึง เป็นการประสานทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บน Mesh Desktop ให้ทุกๆอุปกรณ์มองเห็นและใช้งานเหมือนกัน ในเวอร์ชันเบต้าของ Live Mesh เราอาจไม่เห็นอะไรมากมายนัก แต่ในเวอร์ชันเต็ม เราจะไม่ได้เห็นแค่เพียงโฟลเดอร์วางอยู่บน Mesh Desktop เท่านั้น แต่ว่าจะมีแอพพลิเคชันที่หลากหลายวางอยู่บน Mesh Desktop อีกด้วย ซึ่งแอพพลิเคชันเหล่านี้ก็เหมือนกับแอพพลิเคชันที่ทำงานได้บนคอมพิวเตอร์ ทั่วๆไป เช่น Notepad, Calculator, Paintbrush, Windows Media Player, เกม, หรือแม้แต่ Microsoft Office เป็นต้น และเราสามารถซิงค​์ให้อุปกรณ์ทุกๆเครื่องมีแอพพลิเคชันแบบเดียวกันได้

คำถามมีอยู่ว่าเราจะพัฒนาแอพพลิเคชันบน Mesh Desktop ได้อย่างไร ? คำตอบคือ Ajax กับ Silverlight ซึ่งจะอยู่ในหัวข้อ Live Framework

สร้าง Mesh ด้วย Live Framework

alt text

Live Framework หรือเรียกสั้นๆว่า Live FX (ก่อนหน้านี้เรียกว่า Mesh FX) เป็นเครื่องมือสำหรับการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อการประสานข้อมูลระหว่างเกาะ ต่างๆ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ Live FX เอาไว้พัฒนาแอพพลิเคชันให้มีความสามารถแบบ Mesh-enabled โดย Live FX จะจัดเตรียมวิธีการพัฒนาที่อิงกับมาตรฐานหรือเป็นที่ยอมรับกว้างขวาง อาทิเช่น REST, Atom, JSON, RSS, POX, และ FeedSync และแน่นอน Live FX ยังมี API สำหรับสาวก .NET นอกจากนี้ Live FX ยังจัดเตรียม API สำหรับพัฒนาแอพพลิเคชันบน Mesh Desktop ด้วย Ajax และ Silverlight อีกด้วย

โจทย์ปัญหาที่ว่าจะทำอย่างไรให้ประสานข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ที่มีอยู่หลาก หลายชนิดได้ คำตอบของไมโครซอฟท์คือ​ จัดเตรียมวิธีการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่อิงกับมาตรฐานดั่งที่กล่าวไปแล้ว ดังนั้น นักพัฒนาต้องเข้าใจการจัดการข้อมูลด้วย REST และมีวิธีจัดการรูปแบบของการนำเสนอข้อมูลอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ Atom, JSON, RSS และ POX และก็เข้าใจโปรโตคอล FeedSync ซึ่งวิธีการเหล่านี้ก็ไม่ได้จำกัดภาษาคอมพิวเตอร์หรือแพลตฟอร์มที่จะใช้ใน การพัฒนาเลย

แผนภาพข้างล่างนี้แสดงให้เห็นถึงแพลตฟอร์มและภาษาคอมพิวเตอร์ส่วนหนึ่ง ที่เอาไปใช้กับ Live FX ได้ ซึ่งไมโครซอฟท์เรียกการพัฒนาแอพพลิเคชันด้วย Live FX ว่าเป็นแบบ “Write Once, Run Anywhere” อย่างไรก็ดี ไมโครซอฟท์ก็ไม่ลืมที่จะจัดเตรียม API สำหรับนักพัฒนาที่ต้องการใช้ .NET Framework

alt text

สถาปัตยกรรมของ Live FX ออกจะซับซ้อน ผมเลยไม่แสดงภาพไว้ในที่นี้ ท่านใดสนใจสามารถเปิดดูจากลิงค์ต่อไปนี้ สถาปัตยกรรม Live FX ฉบับย่อ กับ ฉบับเต็ม

การอบรมได้จบที่ภาคปฏิบัติ โดยผู้เข้าอบรมต้องเขียนแอพพลิเคชันเล็กๆให้ทำงานบน Mesh Desktop นั่นคือแอพพลิเคชันสำหรับโหลดรูปภาพที่เก็บอยู่บน Flickr ขึ้นมาแสดง จากนั้น วิทยากรกล่าวว่า ถ้าหากเราสามารถพัฒนาแอพพลิเคชันบน Mesh Desktop ได้ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ยากเลยที่เราจะพัฒนาแอพพลิเคชันลักษณะเดียวกันให้รันบนแพ ลตฟอร์มหรืออุปกรณ์อื่นๆ เช่น iPhone, Android, XBOX 360, PlayStation 3, Linux และ Mac OS X เป็นต้น แน่นอนว่าเราไม่จำเป็นต้องใช้ Siverlight หรือ Ajax ในการสร้างแอพพลิเคชัน เราอาจจะใช้ Java FX, Adobe AIR, C++, หรือตัวอื่นๆก็ได้ ขอเพียงแค่ภาษาคอมพิวเตอร์หรือเฟรมเวิร์คสามารถพัฒนาแอพพลิเคชันที่เข้าใจ มาตรฐานในการจัดการข้อมูลดั่งที่ได้กล่าวไว้ก็พอ

หลังการอบรม

หลังจบการอบรม ในขณะที่ผมกำลังเดินทางกลับบ้าน ผมหวนคิดถึงเนื้อหาในหนังสือที่ผมเพิ่งอ่านไป ชื่อ The Big Switch Rewiring the World, from Edison to Google ในหนังสือได้อ้างถึงไมโครซอฟท์ในบทที่ 4 ชื่อ Goodbye, Mr. Gates ซึ่งกล่าวไว้ว่า ในวันที่ 30 ตุลาคม ปี พ.ศ. 2548 บิล เกตส์ ได้ส่งสารถึงบรรดาผู้บริหารระดับสูงและทีมวิศวกรของไมโครซอฟท์ ให้เริ่มแผนกลยุทธ์เทคโนโลยี ภายใต้ชื่อ “Internet Software Services” ซึ่งนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นก่อนไมโครซอฟท์ก้าวเข้าสู่ยุค “กลุ่มเมฆ” ผมเรียบเรียงใจความสำคัญส่วนหนึ่งของข้อความที่เกตส์ได้ส่งถึงกองทัพ ไมโครซอฟท์ไว้ว่า

เราไม่จำเป็นต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ที่คอมพิวเตอร์ของเรา เอง แต่เราสามารถใช้ซอฟต์แวร์ที่ให้บริการบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยองค์กรที่ สาม (third-party company) และผู้ให้บริการสามารถรองรับผู้ใช้ได้เป็นหลักสิบล้านถึงร้อยล้านรายพร้อมๆ กันได้ ซึ่งนี่จะเป็นเทคโนโลยีดิสรัปทีฟ (disruptive technology) ที่ครองตลาดและถูกใช้กันอย่างกว้างขวางต่อไป

จากข้อความดังกล่าว ผมมีความเห็นว่า การอบรม Live Services Jumpstart ครั้งนี้คงจะสอดคล้องกับแผนที่เกตส์เคยวางไว้เมื่อ 3 ปีก่อน โดยการอบรมนี้ก็เสมือนเป็นการสอนหรือสร้างกองกำลังเสริมของไมโครซอฟท์ ซึ่งเป็นกองกำลังที่ประกอบด้วยบุคคลภายนอก (นอกบริษัทไมโครซอฟท์) เป็นการอบรมให้กองกำลังเรียนรู้วิธีพัฒนาแอพพลิเคชันเพื่อทำงานกับ “กลุ่มเมฆของไมโครซอฟท์” การอบรมครั้งนี้ นับว่าเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดเลยทีเดียว เพราะด้วยทีมพัฒนาซอฟต์แวร์ของไมโครซอฟท์เพียงลำพัง คงมีกำลังไม่มากพอที่จะนำกลุ่มเมฆของตนครอบครองเครือข่ายอินเทอร์เน็ตให้ เป็นกลุ่มเมฆอันดับหนึ่งได้ ทั้งนี้ การยืมมือของกองกำลังเสริม ต้องเริ่มจากการปูทางให้กองกำลังเสริมได้ “เริ่มกระโดด” (Jumpstart) เข้ามาใน Live Services ซึ่งนับว่าเป็นการซ้อมรบครั้งยิ่งใหญ่ของไมโครซอฟท์ในศึกสงครามกลุ่มเมฆเลย ก็ว่าได้

ขอขอบคุณบริษัท ไมโครซอฟท์ ที่เอื้ออำนวยให้ไฟล์ต้นฉบับของสไลด์ส่วนหนึ่งที่ใช้ในการอบรมครั้งนี้แก่ผม และผมได้รับอนุญาตให้นำสไลด์มาใช้ประกอบเป็นภาพของรายงานครั้งนี้ด้วย และเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจ ผมได้อัพโหลดสไลด์ดังกล่าวไว้ที่ Scribd